รวมทั้งได้ประสานความร่วมมือในการสนับสนุนให้นักลงทุนไทยที่มีศักยภาพเข้าไปลงทุนในเมืองคาวาซากิ โดยบีโอไอจะประสานงานกับ One Stop Service Center ของเมืองคาวาซากิในการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนไทย และเมืองคาวาซากิจะพิจารณาผ่อนปรนเงื่อนไขต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้นักลงทุนไทยเข้าไปดำเนินกิจการได้ง่ายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บีโอไอยังได้พบปะหารือกับบริษัท อะมะดะ (Amada Co., Ltd.) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรชั้นนำของญี่ปุ่น และได้ดำเนินกิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุนในไทยอยู่แล้ว และได้ตัดสินใจขยายการลงทุนตั้งศูนย์เทคนิคอลเซ็นเตอร์แห่งใหม่ในประเทศไทย มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2559 เพื่อเป็นศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตเครื่องจักรและฝึกอบรมบุคลากร และนำไปสู่การเข้ามาลงทุนผลิตเครื่องจักรและตั้งกิจการบริษัทการค้าระหว่างประเทศในไทยต่อไป
นอกจากนี้ บีโอไอยังได้ร่วมกับกรมสรรพากร, ธนาคารแห่งประเทศไทย, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมการจัดหางาน จัดงานสัมมนาเพื่อชักชวนให้บริษัทญี่ปุ่นทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ ใน 3 เมืองใหญ่ได้แก่ กรุงโตเกียว นครโอซากา และเมืองนาโกย่า ตัดสินใจเข้ามาตั้งกิจการบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Centers: ITC) และกิจการสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters: IHQ) ในประเทศไทยโดยงานสัมมนาทั้งสามครั้งได้รับความสนใจจากนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากเกือบ 700 ราย
"งานสัมมนาทั้งสามครั้งที่จัดขึ้นในญี่ปุ่นได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการลงทุน ITC & IHQ มาร่วมนำเสนอข้อมูลและร่วมตอบคำถามและอธิบายข้อสงสัยต่างๆ แบบบูรณาการ รวมทั้งจัดให้มีบริการให้คำปรึกษาแบบรายบริษัท ซึ่งมีนักลงทุนญี่ปุ่นเข้าร่วมพบปะพูดคุยกว่า 50 รายและหลายรายมีแผนที่จะยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนอย่างจริงจัง" เลขาธิการบีโอไอกล่าว
ปัจจุบัน กิจการสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (IHQ) และกิจการบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (ITC) เป็นกิจการเป้าหมายของรัฐบาลที่จะมุ่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการค้า ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกันปรับปรุงผ่อนปรนเงื่อนไข และเพิ่มขอบเขตการให้บริการ และเพิ่มการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนมากขึ้น