ทั้งนี้ สศค.มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 58 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 0.7% สาเหตุหลักจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนและมาเลเซีย ส่งผลให้ภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว อาทิ สาขาโรงแรมและภัตตาคาร สาขาขนส่งและคมนาคม ขยายตัวได้ดีตามมา นอกจากนี้ นโยบายเร่งรัดการเบิกจ่ายของรัฐบาลและการใช้จ่ายนอกงบประมาณเพิ่มเติมที่สำคัญ ได้แก่ โครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โครงการบริหารจัดการน้ำ และโครงการพัฒนาระบบขนส่งทางถนน คาดว่าจะทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น และอาจกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชนให้เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวจากปีก่อนหน้าโดยได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำและภาวะการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มขึ้น ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวจากปีก่อนเช่นกัน จากแรงสนับสนุนของโครงการลงทุนภาครัฐ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้าตลอดจนปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคส่งออกของไทย ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการปรับลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ครั้งก่อน
สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 58 มีทิศทางปรับลดลงมาอยู่ที่ -0.6% (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ -1.1 ถึง -0.1%) จากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับแรงกดดันด้านอุปสงค์ลดลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า ส่วนอัตราการว่างงานคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.8% ของกำลังแรงงานรวม
ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศ คาดว่าดุลการค้าจะเกินดุลเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าที่หดตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่ามูลค่าการส่งออก ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงของราคาสินค้าส่งออกและสินค้านำเข้า และคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลประมาณ 20.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 5.1% ของ GDP เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ตามการเกินดุลบริการที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
ประกอบกับดุลการค้าจะเกินดุลเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วมาอยู่ที่ 26.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าที่หดตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่ามูลค่าการส่งออก ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงของราคาสินค้าส่งออกและสินค้านำเข้า โดยคาดว่ามูลค่านำเข้าสินค้าในปี 58 จะหดตัว -5.5% ขณะที่มูลค่าส่งออกสินค้าคาดว่าจะหดตัว -4.0% พร้อมทั้งประเมินระดับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทในปีนี้ในช่วง 32.95-34.95 บาท/ดอลลาร์ หรือเฉลี่ยที่ 33.95 บาท/ดอลลาร์
"ในการประมาณการเศรษฐกิจไทย จำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ ความรวดเร็วของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนภาคเอกชนให้กลับมาได้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอ่อนแอ ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยน และทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตร" ผู้อำนวยการ สศค.ระบุ
นายกฤษฎา กล่าวว่า จากที่ สศค.ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 58 ลงเหลือ 3% นั้น ประเมินว่าเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีแรกจะขยายตัวได้ 3% และคาดว่าช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3% จากเดิมที่คาดว่าทั้งปีจะขยายตัว 3.7% เนื่องจากคาดว่าการส่งออกของประเทศขยายตัวติดลบมากถึง 4% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 0.2%
ทั้งนี้ ประมาณการเศรษฐกิจไทยที่ปรับลดลงมีสาเหตุหลักมาจากภาคการส่งออก โดยคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก 15 ประเทศจะเติบโตลดลงเหลือ 3.61% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.76% โดยตลาดคู้ค้าสำคัญที่หดตัวได้แก่ ประเทศจีน สหรัฐ และกลุ่มอาเซียน เป็นต้น แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังภาคการส่งออกจากติดลบได้น้อยลง เป็นผลมาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่คาดว่าทั้งปีจะอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 33.95 บาท/ดอลลาร์ หรืออ่อนค่าลง 4.5% เมื่อเทียบจากปีก่อน
"ช่วงคาดการขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ 2.5-3.5% โดยมีค่ากลางที่ 3% ซึ่ง สศค.ก็มั่นใจว่าจะเติบโตได้ 3% ไม่ได้ให้น้ำหนักไปในทางบวกหรือลบกว่านี้ จากภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน" นายกฤษฎา กล่าว
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยปี 2558 ยังมีปัจจัยบวกจากภาคบริการท่องเที่ยวที่ขยายตัวมากกว่าที่คาดไว้สูง โดยคาดว่าทั้งปีจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทย 29.9 ล้านคน จากเดิม 29.4 ล้านคน ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวขยายตัวได้ 24% ซึ่งรายได้ที่เกิดขึ้นกระจายไปทั้งสาขาโรงแรมและภัตตาคาร สาขาขนส่งและคมนาคม
นอกจากนี้ ยังได้อานิสงค์การเร่งรัดการเบิกจ่ายของรัฐบาลจะส่งผลดีกับเศรษฐกิจไทยมาครึ่งต่อเนื่อง หลังจากที่การเบิกจ่ายเริ่มขยายตัวตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้ การลงทุนโครงการต่างๆ มีความชัดเจน ทั้งโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โครงการบริหารจัดการน้ำ และโครงการพัฒนาระบบขนส่งทางถนน ขณะเดียวกันมีการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ที่มีนายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เป็นประธาน ซึ่งจะช่วยให้การลงทุนภาครัฐดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนฟื้นตัวจากปีก่อน จากราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ด้านการลงทุนภาคเอกชนก็ฟื้นตัวตามการลงทุนของภาครัฐที่ขยายตัวได้มากขึ้น
นายกฤษฎา กล่าวถึงผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ให้ประเทศไทยอยู่ในระดับ Tier 3 ตามรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ปี 2015 นั้น จากการติดตามเห็นว่าเป็นการคงอันดับไว้เท่าเดิม จึงคาดว่าไม่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย โดยการปรับลด GDP มาอยู่ที่ 3% ในครั้งนี้ได้รวมสมมติฐานการคงอันดับดังกล่าวไว้แล้ว ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในแต่ละด้าน รวมถึงโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเร่งโครงการลงทุนในภาครัฐ ซึ่งก็น่าจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยทั้งปี
ด้าน น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค. เปิดเผยว่า การประมาณการเศรษฐกิจไทยล่าสุด อยู่ภายใต้สมติฐานที่ได้ปรับลดการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยลดลงเหลือ 3.61% ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33.95 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงกว่าที่ประมาณการไว้เดิม ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล และอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50%