ทั้งนี้ที่ประชุมฯ เห็นชอบการขยายระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยให้ผู้ประกอบการรายเดิม หรือผู้ค้าน้ำมัน หรือเอกชนรายอื่น เป็นผู้ดำเนินการพัฒนาโครงการฯ เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรี โดยให้หน่วยงานราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนโครงการ และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) เป็นผู้รับผิดชอบในการกำกับดูแลค่าบริการขนส่งน้ำมันทางท่อ การมีอำนาจเหนือตลาด ป้องกันการผูกขาด ให้ความคุ้มครองผู้ค้าน้ำมันและประชาชนให้สามารถเข้าถึงและได้รับบริการที่เป็นธรรม จนกว่าจะมีการกำหนด ปรับปรุง หรือแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อในอนาคต
รวมทั้งยกเลิกสิทธิพิเศษในการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม จำนวนตั้งแต่ 10,000 ลิตรขึ้นไป ระหว่างปตท. กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงของ กฟผ. โดยมุ่งเน้นให้เกิดการแข่งขัน ความโปร่งใส เป็นธรรมของการค้า และสอดคล้องกับหลักการภายใต้ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ. )ไปประสานกับคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ เพื่อหาแนวทางในการยกเลิกสิทธิพิเศษสำหรับการซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ตั้งแต่ 10,000 ลิตรขึ้นไป ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังมีมติเห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (SPA) ระหว่างปตท. กับบริษัท Shell Eastern Trading (PTE) LTD และ บริษัท BP Singapore PTE. Limited ซึ่งเป็นสัญญาระยะยาวในปริมาณรายละ 1 ล้านตันต่อปี(รวม 2 ล้านตันต่อปี) และการจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในลักษณะสัญญาระยะยาวนี้ จะทำให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศและมีราคาที่ไม่ผันผวน โดยให้ปตท. ลงนามในสัญญาซื้อขาย LNG ภายหลังจากร่างสัญญาฯ ได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดเรียบร้อยแล้ว