สำหรับมาตรการส่งเสริมโรงไฟฟ้าชีวมวลและก๊าซชีวภาพในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลานั้นให้มีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก(VSPP) เชื้อเพลิงชีวมวลและก๊าซชีวภาพในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอนาทวี ในปริมาณกำลังผลิตติดตั้งประมาณ 50 เมกะวัตต์ ด้วยวิธีแข่งขันด้านราคา(FiT Bidding) แบ่งเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล ได้แก่ แกลบ ฟางข้าว ชานอ้อย กะลาปาล์ม หญ้า หรือเศษวัสดุจากการเกษตรอื่นๆ กำลังผลิตติดตั้งประมาณ 30-40 เมกะวัตต์ และเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ หรือก๊าซที่เกิดขึ้นจากการหมักย่อยสลายของน้ำเสีย ของเสียต่างๆ กำลังผลิตติดตั้งประมาณ 10-20 เมกะวัตต์
ที่ประชุมฯ ยังเห็นชอบให้เลื่อนวันกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์การเกษตร จากเดิมภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2559 เป็นวันที่ 30 กันยายน 2559 ส่วนความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ ที่ประชุมฯ เห็นชอบในหลักการเพิ่มสัดส่วนน้ำมันปาล์มดิบผสมกับน้ำมันเตาเพื่อผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้ากระบี่จาก 10% เป็น 23% โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เพิ่มชั่วโมงการเดินเครื่องโรงไฟฟ้ากระบี่และให้พิจารณานำน้ำมันปาล์มดิบมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าทดแทนน้ำมันเตา หลังจากกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรสวนปาล์มที่มีล้นตลาดอยู่ 200,000 ตัน โดยให้ กฟผ.รับซื้อน้ำมันปาล์มปริมาณไม่เกิน 15,000 ตันต่อปี
ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นให้ถือเป็นค่าใช้จ่ายตามนโยบายภาครัฐในสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ และมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) กำกับดูแลการดำเนินงานโดยคำนึงถึงความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและผลกระทบต่อราคาไฟฟ้าเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2558-2579 (Energy Efficiency Plan; EEP 2015) ที่กำหนดเป้าหมายจะลดความเข้มการใช้พลังงาน(Energy Intensity:EI) ต่อหน่วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2579 จากแผนเดิม 25% เพิ่มเป็น 30% เมื่อเทียบกับปี 2553 ซึ่งเป็นการปรับแผนเดิมให้สอดรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ปรับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจและแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งตามนโยบายรัฐบาล ประกอบกับแนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง จึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนการอนุรักษ์พลังงานให้เข้มข้นขึ้น ภายใต้ 3 กลยุทธ์ 10 มาตรการ 4 กลุ่มเศรษฐกิจ ได้แก่
มาตรการบังคับกลุ่มโรงงานและอาคารรวมถึงอาคารภาครัฐด้วยพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งเพิ่มความเข้มข้นที่อาจจะนำค่าธรรมเนียมพิเศษในการใช้ไฟฟ้าส่วนเกินมาตรฐานที่กระทรวงพลังงานกำหนดมาบังคับใช้ การกำหนดให้อาคารใหม่ที่จะก่อสร้างต้องคำนึงถึงการใช้พลังงานต่อพื้นที่ และมาตรการร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชนรวมถึงประชาชนในการลงทุนเพื่อลดใช้พลังงาน เช่น การเปลี่ยนเครื่องจักรอุปกรณ์ การเปลี่ยนหลอดไฟแสงสว่างเป็นหลอด LED การปรับปรุงบ้านหรืออาคาร โรงงานให้ลดการใช้พลังงานลง ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังค่อยๆ ฟื้นตัวด้วย รวมถึงเรื่องสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลคือการปรับโครงสร้างราคาเชื้อเพลิงให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และการรณรงค์สร้างจิตสำนึกสร้างวินัยให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าและประหยัด คาดว่าจะสามารถลดความต้องการใช้พลังงานของประเทศลงคิดเป็นมูลค่ากว่า 8.5 ล้านล้านบาท ซึ่งกระทรวงพลังงานจะรายงานผลการดำเนินงานตามแผนฯ ให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ที่ประชุม กพช.ยังเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าปี 2558 ตามที่ กกพ. เสนอ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและแนวทางการกำหนดอัตราค่าบริการในการประกอบกิจการพลังงานตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 เพื่อกำกับดูแลราคาให้มีความเหมาะสม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และสร้างความเป็นธรรมกับผู้บริโภค เพื่อประกาศใช้ภายในปี 2558 และเมื่อ กพช. เห็นชอบนโยบายโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าปี 2559-2563 แล้ว ให้ กกพ. ทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าตามนโยบายดังกล่าว สำหรับประกาศใช้ภายในปี 2560 ต่อไป