ทั้งนี้ เนื่องจากกระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากประเทศกำลังพัฒนาไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ (Safe haven) อย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเยอรมนี สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ และเยอรมนีลดลง 8.6 และ 6.6 basis points ในวันที่ 11 ส.ค.
อนึ่ง เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ประกาศลดค่าเงินหยวนอ้างอิงรายวันลงถึง 1.9% และเปลี่ยนแปลงการกำหนดค่าเงินหยวนอ้างอิงรายวันโดยใช้อัตราปิด ณ สิ้นวันของวันก่อนหน้า ประกอบกับภาวะอุปสงค์และอุปทานของเงินหยวนและทิศทางค่าเงินหลักของโลก ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ PBOC มีนโยบายการรักษาระดับค่าเงินหยวนที่ค่อนข้างคงที่ที่ระดับ 6.1 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ยังคงกำหนดกรอบการเคลื่อนไหวของหยวนไว้ไม่เกิน 2% จากค่าอ้างอิงที่ประกาศ
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของจีน ทำให้ค่าเงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในระยะสั้น เนื่องจากสาเหตุ 2 ประการคือ 1) ค่าเงินหยวนจะเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาดมากขึ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียมีทิศทางอ่อนค่าลงค่อนข้างมาก ขณะที่ค่าเงินหยวนค่อนข้างคงที่ นอกจากนี้ จีนได้เผชิญกับภาวะเงินทุนไหลออกนับตั้งแต่กลางปี 2014 เห็นได้จากทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนที่ลดลงจากราว 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนมกราคม มาอยู่ที่ระดับ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน หรือลดลงราว 9% ซึ่งเกิดจากการรักษาค่าเงินหยวนให้อยู่ในระดับคงที่
2) การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ภายในปีนี้ ส่งผลให้เงินทุนต่างชาติมีแนวโน้มไหลออกอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การปล่อยให้เงินหยวนเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาด ส่งผลให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงไปเกือบ 5% ภายใน 3 วัน แม้ว่า PBOC จะไม่ได้ประกาศลดค่าเงินเพิ่มเติมอีกแต่อย่างใด
SCB EIC ระบุว่า ผลกระทบจากเงินหยวนอ่อนค่า ทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าได้อีกตามทิศทางค่าเงินหยวน โดยเงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้อีกเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การส่งออกอ่อนแอ และภาวะเงินทุนไหลออก ซึ่งเป็นปัจจัยใหม่ที่เพิ่มเข้ามานอกเหนือจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มปรับเพิ่มขึ้นภายในปีนี้
ขณะที่การส่งออกของไทยไปยังจีนอาจชะลอลงอีก แต่ผลกระทบในภาคการท่องเที่ยวมีจำกัด เนื่องจากราคาสินค้านำเข้าในรูปเงินหยวนจะเพิ่มสูงขึ้นจากค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า ส่งผลให้ความต้องการสินค้าของจีนอาจลดลง
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของความสามารถในการแข่งขันของไทยอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากค่าเงินในภูมิภาคอ่อนค่าลงในทิศทางเดียวกัน
ในส่วนของการท่องเที่ยวของไทยน่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาพบว่า ค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงไม่ได้เป็นการกำหนดพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีน แต่ปัจจัยสำคัญคือ การเติบโตของเศรษฐกิจจีน
SCB EIC ระบุว่า ผลกระทบจากเงินหยวนอ่อนค่าไม่ส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางการเงินของไทยมากนัก เนื่องจากประเทศไทยยังมีสถานะทางการเงินระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลได้ราว 6% ของ GDP ในปีนี้ และยังมีเงินสำรองระหว่างประเทศในระดับสูงที่ 40% ของ GDP
อย่างไรก็ตาม ประเทศที่มีความเสี่ยงต่อเงินทุนไหลออกมากที่สุดคือ มาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศน้อยกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น