2.การผลักดันให้อินโดนีเซียและมาเลเซียถอนรายการสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเวียดนามถอนรายการสินค้ายาสูบออกจากรายการสินค้าที่ไม่นำมาลดภาษี (GE list) ภายในปีนี้ 3.การขยายโครงการนำร่องระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2015 ออกไปอีกระยะหนึ่งเพื่อให้ประเทศสมาชิกบางประเทศที่เพิ่งเข้าร่วมโครงการ เช่น กัมพูชา เมียนมา และเวียดนามได้มีเวลาในการทดสอบระบบและเตรียมความพร้อมอย่างพอเพียง และอาเซียนจะได้มีเวลาในการทำระเบียบปฏิบัติฯ มากขึ้น
ทั้งนี้ การเข้าร่วมโครงการนำร่องระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของ CLMV ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ส่งออกไทยให้สามารถรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองในการส่งออกไปยังตลาดเหล่านี้ได้
นอกจากนี้ อาเซียนพร้อมที่จะประกาศรายการสินค้าของกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV) ที่จะลดภาษีในปี 2018 เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถวางแผนล่วงหน้าในการดำเนินธุรกิจการค้าและขยายการลงทุนในอาเซียน โดยเฉพาะ CLMV ได้ และจะเปิดตัวระบบคลังข้อมูลทางการค้าของอาเซียน (ATR/NTR) ในเดือนพฤศจิกายน 2558 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจทั้งในด้านเวลาและค่าใช้จ่ายให้ผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลมาตรการทางการค้าของประเทศสมาชิกอาเซียนได้ ณ จุดเดียว
ขณะเดียวกันจะปรับปรุงกลไกการแจ้งประเด็นปัญหาด้านการค้าและการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยระบบใหม่นี้ภาคเอกชนสามารถที่จะเข้ามาแจ้งปัญหาด้านการค้าและการลงทุนในอาเซียน และประเทศสมาชิกที่ได้รับการร้องเรียนจะต้องชี้แจงและแก้ไขปัญหาโดยเร็ว
"ผลสำเร็จของการดำเนินการด้านการค้าสินค้าเหล่านี้ นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจการค้าของภาคเอกชนไทยแล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมให้ไทยสามารถส่งออกไปยังตลาดอาเซียนซึ่งมีประชากรกว่า 600 ล้านคน ได้เพิ่มมากขึ้น" นางอภิรดี กล่าว