นอกจากนั้น ยังมีแนวคิดจะผลักดันให้ระบบชำระเงินทั่วประเทศเป็นการดำเนินการผ่านอิเล็กทรอนิกส์ และให้ภาคธุรกิจใช้บัญชีเดียว
นายอภิศักดิ์ กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับอธิบดีและผู้บริหารระดับสูงของส่วนราชการในสังกัด โดยระบุว่า การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคนั้นทีมเศรษฐกิจชุดนี้จะยังคงไว้ในกรอบเดิม เนื่องจากถือว่าเป็นรัฐบาลชุดเดิม แต่ปรับเปลี่ยนแค่ผู้ขับเคลื่อนนโยบายเท่านั้น
“นโยบายเศรษฐกิจมหภาคคงยังเหมือนเดิม เพราะนี่คือรัฐบาลเดิม นโยบายที่เดินไว้ก็เดินต่อไป เปลี่ยนแค่คนช่วยเคลื่อนให้มีแนวทางทีดีขึ้น ของเดิม เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลากว่าจะเห็ฯผล เพราะฉะนั้นในระหว่างที่ต้องใช้เวลานี้ก็ทำให้เกิดช่องว่าง เราจะพยายามเติมช่องว่างตรงนี้ให้เต็ม" รมว.คลัง กล่าว
สำหรับงานสำคัญ 2 เรื่องที่จะต้องเร่งดำเนินการก่อน คือ การเติมเงินให้กับประชาชนในกลุ่มรากหญ้าให้สามารถดำรงชีพได้ และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินในการดำรงชีพได้มากขึ้น ซึ่งกลุ่มรากหญ้าในที่นี้หมายรวมถึงเกษตรกรและกลุ่มรากหญ้าที่อยู่ในเมืองหลวงด้วย 2.การขับเคลื่อนเงินลงทุนภาครัฐ โดยจะเร่งขับเคลื่อนโครงการขนาดเล็กควบคู่ไปกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเห็นว่าโครงการขนาดเล็กจะสามารถเบิกจ่ายได้เร็วกว่า และมีการกระจายลงไปยังท้องถิ่นได้ทั่วถึงกว่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจรายย่อยทั่วประเทศ
“เรื่องการกระจายรายได้ การลดความเหลื่อมล้ำ ดูแลความมั่นคงของระบบการเงิน พวกนี้เรายังยึดเป็นหลัก"นายอภิศักดิ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ยังมีอีก 2 เรื่องที่เห็นว่าควรจะต้องดำเนินการส่งเสริมให้เกิดขึ้น คือ 1.ผลักดันให้การชำระเงินทั่วประเทศเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ เปลี่ยนจากระบบเงินสดมาเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพกับประเทศโดยเฉพาะในแง่จัดเก็บภาษี และการขยายฐานภาษีเพิ่ม ซึ่งจะต้องประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต่อไป และ 2.การสนับสนุนให้ภาคธุรกิจใช้ระบบบัญชีเดียว เพื่อเป็นพื้นฐานให้ประเทศเติบโตไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน ซึ่งรัฐจะต้องมีมาตรการเข้าไปช่วยส่งเสริมเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวเข้าสู่ระบบนี้ได้
รมว.คลัง ระบุว่า จากมาตรการต่างๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้น เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยประคองเศรษฐกิจไทยไม่ให้ล้มไปมากกว่านี้ แต่ยืนยันว่าจะไม่ใช้วิธีแจกเงินให้แก่ประชาชน แต่จะให้ธนาคารของรัฐไปเป็นกลไกสำคัญช่วยขับเคลื่อน และคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ภายในไม่เกิน 1 เดือนจากนี้
“เชื่อว่ากรอบนี้จะช่วยพยุงเศรษฐกิจระยะสั้นไม่ให้เสียหายมากไปกว่านี้ และเป็นโครงสร้างสำหรับการเติบโตของประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต" รมว.คลัง กล่าว
ส่วนเรื่อง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น รมว.คลัง ยืนยันว่า ยังคงเดินหน้าต่อไป แต่จะต้องมีการปรับแนวทางหรือทบทวนรายละเอียดใหม่อีกครั้ง
นายอภิศักดิ์ ยังกล่าวถึงสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นไทยร่วงลงแรงมากในวันนี้น่าจะมาจากหลายเหตุผลประกอบกัน ปัจจัยหลักมาจากต่างประเทศ ไม่เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ของทีมเศรษฐกิจชุดนี้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้คล้ายกับเมื่อตอนเกิดเหตุการณ์แบล็คมันเดย์ ดังนั้น แม้ตลาดหุ้นไทยจะมีพื้นฐานดีแต่ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงก็คงหลีกเลี่ยงผลกระทบไม่ได้ โดยเชื่อว่าหลังจากนี้เมื่อรัฐบาลผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาแล้วเชื่อว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น
"ที่มีคนมองว่าหุ้นตกเกี่ยวกับทีมเศรษฐกิจชุดใหม่หรือไม่นั้น ไม่อยากให้คิดว่าเป็นเพราะเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง เพราะเรื่องหุ้นมันเกี่ยวกับหลายเหตุผล...แต่เชื่อว่าหลังจากนี้เมื่อรัฐบาลออกมาตรการที่กล่าวมา จะช่วยทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น และเรื่องหุ้นอยากให้ทำความเข้าใจว่าเมื่อมีคนขายเยอะ แต่คนซื้อน้อย หุ้นก็ตกเป็นธรรมดา" รมว.คลัง กล่าว