(เพิ่มเติม) "สมคิด"สั่งพาณิชย์เน้นงานหลักดูแลค่าครองชีพ-สินค้าเกษตร-จัดทัพส่งออก

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday September 2, 2015 13:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวภายหลังการมอบนโยบายให้ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ว่า นายกรัฐมนตรีได้ฝากให้มาหารือกับกระทรวงพาณิชย์ในประเด็นที่สำคัญ 3 เรื่อง คือ อยากให้ดูแลราคาสินค้าและค่าครองชีพ เนื่องจากที่ผ่านมายังมีเสียงบ่นว่าราคาสินค้ายังสูงทั้งๆ ที่ต้นทุนราคาน้ำมันได้ลดลงไปพอสมควรแล้ว จึงขอให้พิจารณาจัดตลาดกลางสินค้าและตลาดชุมชนเพื่อกระจายสินค้าลงไปในท้องถิ่นให้เกิดความทั่วถึง เพื่อเป็นกลไกหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนที่ต้องเผชิญสินค้าราคาแพง

อีกเรื่อง คือ ฝากดูแลในเรื่องสินค้าเกษตร โดยเฉพาะ ข้าว ยางพารา และปาล์ม ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะต้องไปหารือร่วมกับกระทรวงเกาตรและสหกรณ์ในการดูแลและบริหารจัดการราคาไม่ให้ผิดธรรมชาติ โดยเฉพาะกรณีของราคายางพาราที่นายกรัฐมนตรีได้ฝากให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณารักษาระดับราคาให้มีความเหมาะสม แต่ทั้งนี้คงไม่ใช่การเข้าไปฝืนกลไกตลาด

รวมทั้ง ปัญหาการส่งออก ซึ่งมองว่าจะต้องมีการจัดทัพการส่งออกใหม่ โดยจะต้องโฟกัสลงไปในรายประเทศที่มีศักยภาพ ใช้วิธีการเจาะลึก และสร้างเครือข่ายเพื่อกระจายสินค้าในประเทศนั้นๆ ร่วมกับภาคเอกชน โดยมองว่าตลาดที่มีศักยภาพดี ได้แก่ พม่า อิหร่าน ปากีสถาน และรัสเซีย เป็นต้น ซึ่งต้องเข้าไปโฟกัสในเรื่องการเจาะตลาดให้มากขึ้น นอกเหนือจากตลาดหลักที่มีอยู่ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันต้องเพิ่มการเจรจาการค้ากับกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพให้มากขึ้น และต้องทำงานประสานกับกระทรวงการต่างประเทศให้เข้ามามีส่วนช่วยสนับสนุนในด้านการค้าและเศรษฐกิจของประเทศนอกเหนือจากงานทางด้านการทูต

“จะเป็นมิติใหม่ที่ทั้งกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงท่องเที่ยวฯ จะร่วมกับภาคเอกชนวางแผนว่าประเทศไหนจะไปก่อน ประเทศไหนไปหลัง และเมื่อไปแล้วจะต้องมีผลต่อเนื่อง เราจะใช้ระบบนี้นำร่อง เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนสามารถเปิดเกมรุกได้" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องการจะให้ดำเนินการเพื่อช่วยส่งเสริมการส่งออกอีกทางนั้น นายกรัฐมนตรีต้องการจะพบปะกับภาคเอกชน โดยขอให้มีการจัดกลุ่มภาคเอกชนแล้วสรุปแนวทางว่าในแต่ละกลุ่มนั้นต้องการให้ภาครัฐช่วยแก้ปัญหาหรือขจัดอุปสรรคในด้านใดบ้าง เพื่อที่ภาครัฐจะได้นำข้อเสนอแนะจากภาคเอกชนไปดำเนินการแก้ปัญหาต่อไป ตัวอย่างเช่น การจดทะเบียนการค้าที่ภาคเอกชนร้องเรียนว่ายังดำเนินการได้ล่าช้า ซึ่งล่าสุดกระทรวงพาณิชย์รับปากว่าจะแก้ปัญหาให้การจดทะเบียนการค้าสามารถทำได้แล้วเสร็จภายใน 1 วัน ขณะที่กระทรวงการคลังก็จะไปพิจารณาเรื่องภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุน เพื่อที่จะออกมาตรการให้สอดประสานกันในการช่วยเหลือภาคเอกชนให้มีความเข้มแข็งและสามารถแข่งขันได้

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า โครงสร้างการค้าของประเทศไทยไม่ได้มีแค่ภาคการค้าสินค้าอย่างเดียว แต่ยังมีภาคการค้าบริการที่ถือว่ามีศักยภาพสูงและเติบโตเร็ว เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ภัตตาคาร ภาพยนตร์ และสถานพยาบาล เป็นต้น ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นอนาคตของประเทศ ในขณะที่ภาคการค้าสินค้าเริ่มจะถดถอยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ดังนั้นจึงต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ผลักดันและส่งเสริมการค้าในภาคบริการนี้มากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้มีการทำธุรกิจการค้าผ่านระบบ E-Commerce มากขึ้น เพราะการค้าในยุคต่อไปคงไม่ใช่เน้นแค่การยกทีมไปโรดโชว์ในต่างประเทศแล้ว

“กลุ่มการค้าบริการเติบโตเร็ว และเป็นอนาคตของประเทศ ถ้าหากจัดทัพใหม่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ในอนาคตการจัดสรรงบประมาณที่จะส่งเสริมนี้ จะไม่ใช่แค่ผลักดันให้มีการส่งออกสินค้า แต่จะไปสร้างและพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมบริการให้มากขึ้น ไม่ใช่เป็นแค่ติ่งหนึ่งของการผลิตภายในประเทศเท่านั้น" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

นายสมคิด กล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจของประเทศที่จะเติบโตนั้น จะต้องเป็นการเติบโตที่สมดุลโดยมาจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยอดีตที่ผ่านมาการเติบโตของเศรษฐกิจจะเน้นที่การส่งออกเป็นสำคัญ แต่ปัจจุบันเห็นว่าควรจะต้องมาสร้างกระบวนการการค้าภายในประเทศให้มีความเข้มแข็ง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสมดุลของเศรษฐกิจภายในประเทศ

รัฐบาลต้องการสร้างการเติบโตจากภายในประเทศ ซึ่งอดีตที่ผ่านมาจะเน้นการให้ความสำคัญกับการส่งออก แต่จะเห็นว่าปัจจุบันเริ่มเกิดความไม่สมดุล ซึ่งการพัฒนาประเทศจะต้องเน้นความสมดุลทั้งในและต่างประเทศควบคู่กัน ดังนั้นจะต้องสร้างกระบวนการการค้าภายในประเทศให้เกิดความคึกคักและเข้มแข็งได้ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ไม่เฉพาะเน้นแต่การค้าการส่งออกเท่านั้น

“ตอนนี้เปรียบได้กับว่าขาขวาเราแข็งแรง แต่ขาซ้ายเราเป็นโปลิโอ คือท้องถิ่นไม่แข็งแรง การที่เรามีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเมื่อวานนี้ จะช่วยให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการผลิต แปรรูป สินค้าชุมชน จัดหาตลาด...ขาซ้ายที่เป็นโปลิโออยู่นี้ ถึงเวลาต้องนวดเฟ้น ให้ยาบำรุง เสริมทัพให้แข็งแรงขึ้นมาภายใน 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งตัวนี้จะทำพร้อมๆ กันไป" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์จะนำข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปตีโจทย์ และจะจัดประชุมเวิร์คช้อปร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแปลงออกมาเป็นภาคปฏิบัติ โดยจะเร่งแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายภายเพื่อให้เกิดประสิทธิผลในระยะเวลาภายใน 3 เดือนตามที่กำหนดไว้

ด้านนางชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ยืนยันว่าจะรับนโยบายทั้งหมดในวันนี้ไปดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน 3 เดือน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ