"นี่คือการดำเนินการทางประชาธิปไตย ไม่ใช่ว่าเราจะเดินไปสู่การเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่ต้องทำให้ประชาธิปไตยเกิดขึ้นและให้ดีอย่างที่เราต้องการ เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน วันนี้จะใช้เวลาที่มีอยู่ทำให้ดีที่สุด โดยหวังอย่างยิ่งว่าการมาร่วมหารือในวันนี้จะเกิดประโยชน์กับในพื้นที่ และขอให้ทำความเข้าใจกับประชาชนตั้งแต่คนยากจน รายได้น้อย เศรษฐี นักธุรกิจ ต้องเน้นให้มีการเพิ่มปริมาณการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านให้สูงขึ้นจากเดิม 1 แสนล้านบาทให้ถึง 2 แสนล้านบาท ซึ่งต้องเป็นประโยชน์ทั้งฝั่งไทยและเมียนมา รวมถึงเรื่องสิทธิประโยชน์ จีเอสพี ภาษี ที่ต้องนำมาคิดทั้งหมด" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
โดยวันนี้ นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ประกอบด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย, พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน, นางอรรชกา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม, นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์, พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ พล.ต. วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางไปติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ เกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก(Tak Special Economic Development Zone) ตามนโยบายรัฐบาล
ซึ่งในระยะแรกจะให้ความสำคัญกับด่านการค้าชายแดน 6 ด่าน ได้แก่ ปาดังเบซาร์ สะเดา อรัญประเทศ แม่สอด บ้านคลองลึก และบ้านคลองใหญ่
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่เราจะสร้างบ้านแปลงเมืองประเทศไทยกันใหม่ ทุกจังหวัดทุกพื้นที่ต้องทำยุทธศาสตร์ของประเทศไทยคือ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และทำตามแนววิสัยทัศน์ล่าสุดคือ Stronger together our home our country เพราะประเทศไทยคือบ้านของทุกคน ทุกคนต้องดูแลบ้านให้ดีและเข้มแข็ง ทำให้ความมั่นคงต้องควบคู่ไปกับความมั่งคั่ง แล้วจะเกิดความยั่งยืนในวันหน้า ซึ่งหากทำจุดนี้สำเร็จจะเป็นประตูไปสู่อันดามัน เชื่อมต่อเมียนมาไปอินเดีย ปากีสถาน อิหร่าน ตุรกี ยุโรป ซึ่งเป็นการเชื่อมต่ออาเซียนกับสหภาพยุโรป และในวันหน้าไม่ว่าทุกคนจะมีความขัดแย้งกับใครก็แล้วแต่ จะต้องกลับมาดูเรื่องเศรษฐกิจ ลดความขัดแย้ง พัฒนาเศรษฐกิจให้มากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาความยากจน ซึ่งตนเองเคยเสนอในประชาคมโลกว่าเราต้องแก้ปัญหาด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้นการดูแลประชาคมโลกในวันหน้า ประชาชนต้องเข้ามามีส่วนร่วม 2 ส่วนคือ 1.รัฐบาลดูแลแก้ปัญหาความรุนแรง 2.ดึงคนเหล่านั้นให้กลับมามากที่สุด คือการพัฒนา
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแบ่งพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษควรทำให้เสร็จสมบูรณ์ในช่วงปี 2558-2559 ซึ่งจะมีทั้งในส่วนของนิคมอุตสาหกรรม ภาคเอกชน ภาครัฐและเจ้าหน้าที่ โดยในส่วนที่รัฐบาลทำอยู่คือเรื่องการทำพื้นที่ที่มีโครงการทำเฉพาะทาง ซึ่งจะเป็นตรงไหนก็ได้ที่มีความพร้อม อาจจะนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษก็ได้ หรืออาจไกลออกไป เช่น Rubber City หรือเมืองก่อสร้าง เมืองรถยนต์ เมืองการศึกษา มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย ที่ต้องเกิดขึ้นให้ได้ในระยะต่อไป เหมือนเช่นที่อุตสาหกรรมบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา
"ในการดำเนินการใดๆ ก็แล้วแต่ ต้องยึดหลักการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือความเจริญต้องเกิดจากข้างใน ถ้ามองจากเขตเศรษฐกิจพิเศษต้องมองไปถึงเศรษฐกิจชุมชนว่าเขาเจริญหรือไม่ เขาได้ประโยชน์อะไร เพราะหากประชาชนบางส่วนไม่เข้าใจก็จะเกิดการต่อต้าน โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาจะต้องให้คนคิดเป็น มองปัญหาภาพใหญ่ อย่าเอาแต่ตัวเอง รัฐบาลนี้จึงยึดการลดความเหลื่อมล้ำ ให้ความเป็นธรรม เพราะในโลกนี้เข้าใจดีว่า ไม่มีอะไรที่เท่าเทียมเพราะมีสูง ต่ำ ดำ ขาว แต่สิ่งที่จะให้คนเราเท่าเทียมกันได้คือกฎหมายและใช้กฎหมายด้วยความเป็นธรรม เมตตา ดังนั้นเราจึงต้องช่วยกันพิจารณาว่าจะทำอย่างไรเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน โดยเฉพาะข้าราชการกับประชาชน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ไทยนำแรงงานจากต่างประเทศมาใช้แรงงานจำนวนมาก จึงต้องดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานต่างชาติให้ดี และควบคุมคุณภาพแรงงานให้ได้มาตรฐาน ให้คุ้มค่าจ้าง ซึ่งในส่วนของคนไทยได้ให้กระทรวงศึกษาธิการเตรียมความพร้อมเรื่องการศึกษา พัฒนาแรงงานฝีมืออาชีพให้ตรงกับความต้องการตลาดแรงงาน และเท่าที่ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการ ยินดีให้คนไทยเป็นหัวหน้าแรงงานแต่ติดเรื่องภาษาจึงต้องเพิ่มเข้าไปในหลักสูตรด้วย พร้อมกันนี้อยากให้เร่งเรื่องของการมีตลาดกลางที่เข้มแข็งเพิ่มขึ้นในประเทศ เป็นธุรกิจเพื่อสังคมในรูปแบบสหกรณ์ ที่หากทำได้ก็จะได้สิทธิประโยชน์จากเขตเศรษฐกิจพิเศษด้วย ขณะเดียวกันไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในการทำธุรกิจจะต้องได้ประโยชน์ทั้งคู่ เพื่อลดความหวาดระแวงระหว่างกันและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน