"นโยบายของรองนายกฯ ต้องการให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาโครงการมากขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐฯ เน้นหลักในรูปแบบของการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) แต่จะต้องไม่เป็นรูปแบบเดิมที่ให้รัฐรับภาระการก่อสร้าง และให้เอกชนเข้ามาจัดการ แต่อาจปรับให้ออกมาเป็นในรูปแบบร่วมกันพัฒนาตั้งแต่ต้นเลย ซึ่งแนวทางขณะนี้โครงการที่อยู่ในแผนงานเดิมก็จะดำเนินตามกรอบเพื่อความเร่งด่วน เพราะหากจะต้องนำกลับมาสู่กระบวนการ PPP จะต้องล่าช้าไปอีกประมาณ 9 เดือน แต่หากเป็นโครงการใหม่ๆ ก็จะนำร่องให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนอย่างเต็มตัว" นายอาคมกล่าว
ขณะเดียวกัน นโยบายส่วนที่ 3 ได้สั่งการให้พิจารณาแผนงานจำเป็นเร่งด่วน ประกอบไปด้วย 1.โครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ซึ่งได้วางนโยบายอยากให้มีการพัฒนาเชื่อมต่อจากสถานีพญาไทไปยังดอนเมืองให้เกิดขึ้นโดยเร็ว 2.รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายที่ปัจจุบันงานก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว 60% มีการเร่งรัดให้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของประชาชน และ 3.แผนการแก้ไขปัญหากรมการบินพลเรือน(บพ.) เรื่องความปลอดภัยที่มีนัยสำคัญ(SSC) จากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) จะต้องเร่งดำเนินการตามแผนที่เคยระบุมาแล้ว ซึ่งขณะนี้กระทรวงฯ ได้กระชับกรอบเวลาแล้วเสร็จในเดือน เม.ย.59 จากเดิมที่วางไว้ในเดือน ส.ค.59
นายอาคม กล่าวอีกว่า นอกจากนโยบายหลักที่ได้รับมอบหมาย รองนายกฯ ยังสั่งการให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแนวทางขับเคลื่อนการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานไปยังกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยเฉพาะแนวระเบียงเศรษฐกิจได้แก่ อ.แม่สอด - มุกดาหาร ซึ่งทางกระทรวงฯ ได้ขยายถนนแล้ว รอการขยายระบบทางราง โดยล่าสุดจะขับเคลื่อนให้สะพานไทย - เมียนมาร์ แห่งที่ 2 เดินหน้าก่อสร้างเพื่อให้ทันรองรับการเติบโต ขณะเดียวกันโครงการเชื่อมโยงฝั่งตะวันออกและตะวันตกก็จะเร่งรัดให้ความสำคัญ เช่น รถไฟเชื่อมโยงกาญจนบุรี - กรุงเทพฯ - แหลมฉบัง
นอกจากนี้ แนวทางการพัฒนาโครงการของกระทรวงฯ หลังจากนี้จะต้องสามารถสนับสนุนคลัสเตอร์อุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ หรือปิโตรเคมี
ในส่วนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 17 โครงการ วงเงินลงทุน 1.6 ล้านล้านบาท ที่จะต้องเร่งดำเนินการให้ได้ภายใน 1-2 ปีนี้ และยืนยันว่าทุกโครงการมีความสำคัญ โดยขณะนี้สั่งให้แต่ละหน่วยงานกลับไปจัดทำกรอบการดำเนินโครงการอย่างละเอียดกลับมาเสนอภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อให้สร้างความชัดเจนและความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่าจะเข้าร่วมโครงการได้อย่างเป็นรูปธรรม
นายอาคม กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีแนวทางการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน(Infrastructure Fund) เนื่องจากการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวจะต้องการันตีผลตอบแทนให้กับนักลงทุนตั้งแต่ต้น ทำให้เป็นจุดอ่อน เหตุเพราะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนต่ำ ทำให้เอกชนไม่ลงทุน ดังนั้นจึงต้องใช้โมเดลให้รัฐลงทุนและให้เอกชนเข้าบริหาร แต่หากจะมีการจัดตั้งกองทุนจริงโครงการมอเตอร์เวย์มีความเป็นไปได้มากที่สุด ซึ่งคงต้องกลับมาพิจารณาแนวทางกันอีกครั้ง เพราะการขับเคลื่อนงานเร็วสุดจึงต้องให้เลือกแนวทางกู้เงินไปก่อน และหากเอกชนจะเข้ามากลางคันก็สามารถทำได้