พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอฝากรัฐบาลใหม่นำแผนฉบับนี้ไปสานต่อ เพราะถือมีความสำคัญอย่างมาก เป็นการวางยุทธศาสตร์ประเทศ ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และต้องมีการกำหนตัวชี้วัดให้ชัดเจนว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าประเทศจะมีทิศทางไปอย่างไร เปรียบเหมือนขบวนรถไฟที่ 12 ที่งานต้องมีความคืบหน้า เพราะแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ทั้ง 11 ฉบับที่ผ่านมายังไม่มีการพัฒนาเท่าที่ควร เนื่องจากติดปัญหาเรื่องของคนที่จะต้องมีการพัฒนาร่วมกันเพื่อทำงานทุกด้านให้ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนักการเมืองเข้ามาบริหารประเทศก็จะต้องเดินงานตามยุทธศาสตร์ชาติที่วางไว้ นอกเหนือจากงานตามนโยบายของแต่ละพรรคการเมือง
นายกรัฐมนตรี ยังยอมรับว่า ปัญหาของประเทศที่ผ่านมา เพราะมีระบบนักการเมืองที่ล้มเหลว ข้าราชการไม่เข้มแข็ง ถูกชักจูง และประชาชนไม่มีการเรียนรู้ จึงขอฝากให้นักการเมืองที่จะต้องเข้ามาบริหารประเทศต่อไป และประชาชนทุกคนต้องร่วมมือกัน โดยไม่เห็นด้วยที่จะนำประชาชนมาต่อสู้กัน และขออย่าให้เกิดขึ้นอีก เพราะอาจจะไม่มีใครมายืนในจุดนี้อีกแล้ว
พร้อมทั้งฝากให้ช่วยชี้แจงนักการเมืองช่วยเดินหน้าประเทศ ซึ่งขณะที่การดำเนินการตามโรดแมประยะที่ 3 ซึ่งต้องขยายออกไปประมาณ 20 เดือนนั้นไม่ได้มาจากความต้องการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการพิจารณาโดยอิสระของสภาสปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)พร้อมขอให้ทุกฝ่ายออกมามีส่วนร่วม และย้ำให้ช่วยกันพิจารณากลไกเดินหน้างานการปฏิรูปในอนาคต และยืนยันการคัดเลือกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศยึดตามความเหมาะไม่รับการวิ่งเต้นใดๆ ทั้งสิ้น
"ร่างรัฐธรรมนูญที่ถูก สปช.โหวตคว่ำร่าง ไม่ได้สั่งการใดๆในเรื่องนี้ ให้สิทธิ สปช. ดำเนินการ ดังนั้น ขออย่ามาโทษผม เพราะไม่ยุติธรรม และขออย่ามาวิ่งเต้นเพื่อขอรับตำแหน่ง โดยจะมีการบันทึกชื่อไว้ เพราะพบว่าตอนนี้มีการวิ่งเต้นจำนวนมาก"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่าแต่ละโครงการที่รัฐบาลดำเนินโครงการมีความคืบหน้าไปทุกด้าน แต่สังคมไทยยังคงชอบที่ออกมาวิจารณ์ เช่น การรื้อถอนสะพานลอยข้ามแยกเกษตกร เพื่อก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าจนทำให้รถติดก็โทษรัฐบาล แต่อยากให้เข้าใจว่ารัฐบาลเข้ามาก็ไม่ได้ล้มโครงการเดิมทั้งหมด และอยากให้คนไทยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนร่วม และร่วมเป็นร่วมตายไปด้วยกันเพื่อการพัฒนา โดยย้ำว่ารัฐบาลนี้ดำเนินแผนงานเดิมที่วางไว้ให้
ขณะที่ความคืบหน้ารถไฟความเร็วปานกลาง ก็อยู่ระหว่างการพูดคุยกับจีน เพื่อให้เกิดในรัฐบาลชุดนี้ เช่นเดียวกับรถไฟความเร็วสูง ที่กำลังดูจุดเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวเช่น เชื่อมต่อไปยังเมืองพัทยา หรือ หัวหิน พร้อมกับการบริหารพื้นที่ตลอดรางรถไฟ โดยเป็นการร่ววมมือระหว่างเอกชนและภาครัฐ และสำคัญเตรียมการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์ภายในปีนี้ให้ได้
ท้ายสุด นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกคนมาช่วยกัน อย่าทะเลาะกัน หรือเสียเวลาไปความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม แต่มาช่วยกันสร้างประชาธิปไตยให้มีศักดิ์ศรี และเข้มแข็งในอนาคต รวมถึงอย่าให้ใครมาใช้อำนาจทับซ้อนกับประเทศ อย่านำปัญหาต่างๆมาขุดคุ้ยให้เกิดเรื่องราวขึ้น พร้อมกล่าวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีที่เข้ามาร่วมงานในวันนี้ให้อดทนอีกนิดหนึ่ง โดยที่ผ่านมาตนเองทำงานร่วมกับทั้งนายอภิสิทธิ์ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาทั้งนั้นในฐานะเคยเป็นผู้ใต้บังคับบบัญชามาก่อน