สำหรับแนวทางขยายการใช้ยางพาราในประเทศ ทั้ง 3 ประเทศเห็นตรงกันว่าสามารถใช้ยางพาราราดถนนทดแทนยางมะตอยได้ ซึ่งจะมีความคงทนสูงกว่า ขณะเดียวกันยังสามารถใช้ยางพาราปูพื้นสนามกีฬา สนามเด็กเล่น ตลอดจนใช้ปูพื้นคอกสัตว์เพื่อกันลื่นได้ ขณะที่มาเลเชียได้กำหนดให้สถานพยาบาลของรัฐใช้ถุงมือยางที่ทำจากยางพารา โดยมีการศึกษามาตรฐานถุงมือยางให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานความปลอดภัย
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯยังได้เร่งรัดการศึกษาวิจัยด้านคาร์บอนเครดิตของผลิตภัณฑ์ยางพาราแต่ละชนิด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปลูกสร้างสวนยางอย่างยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสให้สวนยางพาราเป็นส่วนหนึ่งของตลาดคาร์บอนเครดิต จะช่วยให้เกษตรกรรายย่อยมีรายได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน อีกทั้งยังจะปล่อยให้ราคายางพาราเป็นไปตามกลไกของตลาดปกติ และทั้ง 3 ประเทศยังมอบหมายให้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญทำการศึกษารูปแบบและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งตลาดยางพาราในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งคาดว่า ผลการศึกษาดังกล่าวจะเสร็จสิ้นในปี 2559 และเป็นตลาดสำหรับภูมิภาคอาเซียนอย่างแท้จริง
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวอีกว่า ในที่ประชุม ITRC ครั้งนี้ ยังได้หารือกับผู้แทนของกัมพูชาและเวียดนามซึ่งมีพื้นที่ปลูกยางเป็นจำนวนมากและมีความพร้อมให้เข้าร่วมเป็นภาคีผู้ผลิตยางพาราด้วย ขณะที่ สปป.ลาว และเมียนมาร์ อยู่ระหว่างการตัดสินใจเข้าร่วมภาคีฯเช่นกัน ซึ่งคาดว่าการผนึกกำลังของประเทศผู้ผลิตยางพาราครั้งนี้ จะสามารถช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองทางการค้า และเป็นโอกาสดีที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวสวนยางพารารายย่อยให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้นในอนาคต