ที่ผ่านมาบริษัทได้เพิ่มจำนวนสินค้าและประเภทสินค้าแบรนด์ “แอนิแทค (anitech)" เข้าไปยังกลุ่มประเทศ AEC มากขึ้น ทั้งในเมียนมาร์ สปป.ลาว และเวียดนาม จากที่วางสินค้าจำหน่ายก่อนหน้านี้ และได้รับความนิยมจากผู้ใช้จำนวนมาก ด้วยรูปแบบและการดีไซน์ที่ทันสมัย ฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ทำให้แบรนด์ “แอนิแทค (anitech)" มีส่วนแบ่งทางการตลาดแต่ละประเทศมากขึ้น ซึ่งจะขยายครอบคลุมทั้ง 10 ประเทศในกลุ่ม AEC ในปี 2561 และตั้งเป้าเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายยังประเทศจีนที่มีมูลค่าตลาดสูงมาก และขยายไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียให้ครอบคลุม ภายในปี 2563
บริษัทได้ทำการขยายการผลิตในเมืองไทยเพื่อให้สอดคล้องกับการขยายตลาดใน AEC โดยทางบริษัทได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี ขณะที่มีการลงทุนในส่วน R&D LAB จะสามารถเพิ่มจำนวนสินค้าหมวดใหม่จาก 500 เป็น 2,000 รายการ และยังทำให้การออกแบบสินค้าใหม่ดูโดดเด่นกว่าสินค้าของแบรนด์อื่นๆ ทั้งการเพิ่มมูลค่าให้สินค้า และกระตุ้นความต้องการซื้อ ตลอดจนมีการตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่เข้มงวดก่อนออกจำหน่าย ซึ่งทั้งหมดเป็นกลยุทธ์การแข่งขันด้านดีไซน์และคุณภาพสินค้าที่จะช่วยให้แบรนด์สินค้ามีความยั่งยืนมากกว่าการแข่งขันทางด้านราคาเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ ยังอยู่ในระหว่างการลงทุนระบบการจัดการภายในขององค์กร(ERP) และปรับปรุงระบบ Supply Chain ใหม่เพื่อการพัฒนาให้เป็นธุรกิจขนาดใหญ่จากที่อยู่ในระดับ SME และสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง ส่งมอบได้เร็วขึ้น และทันต่อการเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของผู้บริโภค
“บริษัทเชื่อมั่นว่าจะก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้าน Consumer Electronic ในประเทศเมียนมาร์ได้ในอนาคต จากช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การจำหน่ายสินค้าในเมียนมาร์ถือว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากประเทศกำลังพัฒนาและสู่ยุค IT มากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการสินค้ามีมาก จนบริษัทมีการเติบโตของยอดขายกว่า 200% มีส่วนแบ่งเป็น Top 2 ของกลุ่มประเทศสินค้าเดียวกัน จากมูลค่าตลาดโดยรวมของสินค้าคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะอยู่ที่ 55,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท กลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มสินค้าชิ้นส่วนหรือส่วนประกอบอยู่ที่ 8,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 300 ล้านบาท “นายพิชเยนทร์ กล่าว
สำหรับบริการหลังการขายบริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับการรับประกันสินค้า โดยแบรนด์“แอนิแทค (anitech)" สร้างความเชื่อมั่นด้วยการคุ้มครองผู้ใช้งานสินค้าจากการบาดเจ็บ และความเสียหายต่อทรัพย์สินที่อาจเกิดขึ้น (Products Liability Insurance) ด้วยการตั้งวงเงินคุ้มครองด้านความปลอดภัยในการรับประกันสินค้าสูงสุดถึง 300,000 บาท ซึ่งเป็นการสร้างจุดขายและมาตรฐานใหม่ให้กับสินค้าในอุตสาหกรรมเดียวกัน และถือเป็นแบรนด์แรกในกลุ่มสินค้านี้ ซึ่งการรับประกันสินค้าครอบคลุมถึงการซื้อสินค้าและนำไปใช้ในต่างประเทศ กลุ่มผู้ใช้ที่ชื่นชอบเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี และประเทศอื่นๆ ทวีปเอเชีย
ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 170 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ในประเทศ 95% และต่างประเทศ 5% คาดรายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 190 ล้านบาท หากในอนาคตบริษัทมีการจำหน่ายสินค้าไปในกลุ่มประเทศ AEC และจีนเพิ่มน่าจะส่งผลให้สัดส่วนรายได้ปรับเปลี่ยนไป โดยบริษัทตั้งเป้าหมายในปี 2016 เพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเพิ่มเป็น 20% ในประเทศอยู่ที่ 80% ในปี 2018 เพิ่มเป็นสัดส่วน 50% เท่ากัน และในปี 2020 เพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเพิ่มเป็น 20% ในประเทศอยู่ที่ 80%
ด้านนางสาวอัญชลี พรมอ่วม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงการจัดจำหน่ายสินค้าในแต่ละประเทศว่า บริษัทจะแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายเพื่อกระจายสินค้าไปยังช่องทางการขาย ทั้งกลุ่ม Modern Trade ยกตัวอย่าง เช่น ประเทศเมียนมาร์ได้แต่งตั้งห้างในเครือของ Citimart จำหน่ายในห้าง Citimart และ Ocean ซึ่งห้างดังกล่าวอยู่ระหว่างการขยายสาขาเพิ่มทั้งในย่างกุ้ง และหัวเมืองอื่นๆ และช่องทาง Traditional Trade เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สินค้าแบรนด์ anitech และ nobi เข้าไปยึดพื้นที่ขายของหน้าร้านได้เป็น Top 2 ของประเทศเมียนม่าร์ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน บริษัทยังจำหน่ายผ่านตัวแทน โดยสนับสนุนการตลาดผ่าน Smart ID Group ที่มีนโยบายที่ชัดเจนในการทำงานร่วมกับคู่ค้าในแต่ละประเทศโดยมีเป้าหมายร่วมกันในแต่ละปี และดูแลทุกไตรมาสด้วยการส่งทีมเข้าไปประจำอยู่ในประเทศนั้นๆ เพื่อประสานการทำงานกับคู่ค้าทั้งด้านการขายและการตลาดควบคู่กันเพื่อความมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งอาศัยกลยุทธ์หลัก ได้แก่ การส่งเสริมแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักด้วยการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคข่าวสาร หรือการรับรู้ของประชาชนในประเทศนั้นๆ เพื่อทำการตลาดอย่างเข้าถึงมากที่สุด ตลอดจนการจัดทำกิจกรรมทางการตลาดหรือRoadshow สินค้าร่วมกับคู่ค้าในแต่ละประเทศ เพื่อให้ได้เห็นสินค้าจริงที่หลากหลาย พร้อมโปรโมชั่นที่จูงใจ
อย่างไรก็ตาม เพื่อกระตุ้นและจูงใจให้พื้นที่การขายมากขึ้น บริษัทได้จัดทำโปรแกรมการตลาดกับคู่ค้า(Trade Promotion) กับหน้าร้านค้าปลีก รวมถึงการทำแคมเปญสร้างความเชื่อมั่นกับคุณภาพสินค้าซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญ เนื่องจากตลาดต่างประเทศจะให้เครดิตสินค้าจากประเทศไทยค่อนข้างมาก ดังนั้นการที่ได้ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้สินค้า หรือตัวแทนจำหน่ายได้รับรู้ถึงนโยบายการคุ้มครองผู้ใช้งานสินค้าและความเสียหายต่อทรัพย์สิน การรับประกันสินค้าที่ผู้ใช้สินค้าสามารถเปลี่ยนสินค้าได้ตลอดอายุของการรับประกันของสินค้านั้นๆเมื่อเกิดปัญหา รวมทั้งการรับประกันความเสียหายต่อทรัพย์สินทั่วเอเชียจะช่วยผลักดันให้สินค้าได้รับความนิยม เพราะลูกค้ามีความมั่นใจที่จะใช้สินค้าของบริษัทมากยิ่งขึ้น