"การเจรจาครั้งแรกที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพครั้งนี้จะมีการหารือโครงสร้างความตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน และแผนการเจรจา รวมถึงเป้าหมายการเจรจาในแต่ละรอบ เพื่อให้การดำเนินการเจรจาสามารถเสร็จสิ้นได้ภายในกำหนด" น.ส.วสุนันทา กังวาลกุลกิจ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย กล่าว
ความร่วมมือครั้งนี้ทั้งสองประเทศจะเป็นการเพิ่มโอกาสการส่งออกของไทยไปยังตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรประมาณ 200 ล้านคน(อันดับ 6 ของโลก) ซึ่งในจำนวนนี้มีประชากรที่มีกำลังซื้อสูงถึงประมาณ 30 ล้านคน นอกจากนี้ปากีสถานยังมีที่ตั้งที่ได้เปรียบด้านยุทธศาสตร์การค้า สามารถเป็นประตูการค้าเพื่อกระจายสินค้าของไทย เช่น ยานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ไปยังภูมิภาคต่างๆ เช่น ภาคตะวันตกของจีน เอเชียกลางและภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงโลกมุสลิมซึ่งมีกว่า 50 ประเทศในกลุ่มประเทศในองค์การความร่วมมืออิสลาม(OIC) ซึ่งมีประชากรประมาณ 2 พันกว่าล้านคน ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ คิดเป็น 1 ใน 3 ของตลาดโลก จึงเป็นโอกาสของสินค้าฮาลาลของไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งทรัพยากรที่เป็นวัตถุดิบต่อการผลิตของไทย เช่น อัญมณี และสัตว์น้ำ เป็นต้น
ขณะเดียวกันปากีสถานสามารถใช้ไทยเป็นประตูสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีประชากรรวมกว่า 600 ล้านคน โดยประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนก็จะเกิดขึ้นในปลายปีนี้ ทำให้อาเซียนกลายเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว มีการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตต่างๆอย่างเสรี เสมือนอยู่ในประเทศเดียวกัน โดยสามารถใช้ทรัพยากรทั้งวัตถุดิบและแรงงานจากหลายประเทศสมาชิกเพื่อนำมาใช้ในการผลิต โดยปราศจากอุปสรรคทางด้านภาษีและมิใช่ภาษี ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน ทำให้อาเซียนเป็นตลาดที่น่าลงทุนยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ สำหรับคู่ค้าของอาเซียน เช่น ปากีสถาน ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีนักลงทุนไทย ได้แก่ บริษัท สยามซีเมนต์, บริษัท ไทยยูรีเทน เคมีคัลอินดัสเตรียล, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์(ซี.พี.ปากีสถาน) เข้าไปลงทุนในปากีสถานแล้ว
ในปี 2557 ปากีสถานเป็นคู่ค้าอันดับที่ 46 ของไทยในตลาดโลก และเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียใต้รองจากอินเดีย การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 1,014.98 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ 2.40 โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 734.94 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกมูลค่า 874.96 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ 6.97 และนำเข้ามูลค่า 140.02 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 40.86
สำหรับสินค้าส่งออกของไทย ได้แก่ เส้นใยประดิษฐ์ ผ้าผืน รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ เป็นต้น และสินค้านำเข้าจากปากีสถาน ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องดนตรีของเล่นเครื่องกีฬาและเครื่องเล่นเกมส์ สัตว์น้ำสดแช่เย็นแช่แข็งแปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป สินแร่โลหะอื่นๆเศษโลหะและผลิตภัณฑ์ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เป็นต้น