"ผมก็บอกเขา(ญี่ปุ่น)ว่าอยากให้มาลงทุนในขณะนี้เลย ไม่ต้องรอถึงปีหน้า แต่ผมเข้าใจว่าเขาอาจจะดูสถานการณ์อีกสักนิดที่กระทรวงการคลังและบีโอไอกำลังทำอยู่ แต่หากช่วง 6 เดือนนี้มีเม็ดเงินลงมาจริงก็จะมีสิทธิพิเศษสำหรับคุณ ซึ่งไม่ต้องรอดูใจ ให้มาลงทุนเลย แต่เขาก็มีแผนของเขาอยู่แล้ว เขาคงคิดว่าขอรอดูไปก่อน ดูหน้าดูหลังให้ดี" นายสมคิดกล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการเชิญชวนในครั้งนี้ ทางหอการค้าญี่ปุ่นแสดงความสนใจ ซึ่งในเรื่องของความร่วมมือหลังจากนี้นั้น ตนจะนำทีมเศรษฐกิจของไทยไปประชุมร่วมกับทางญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะเดินทางไปช่วงปลายพ.ย.หรือต้นธ.ค.58 ทั้งนี้การเดินทางไปนั้น ไม่อยากให้เป็นเพียงแค่การเจรจาด้านการค้า แต่อยากให้เป็นความร่วมมือทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเห็นว่าควรมีการพูดคุยความร่วมมือกันทั้งด้านการค้า การท่องเที่ยว และด้านวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ทางญี่ปุ่นสนใจเรื่องรถไฟ โดยเฉพาะเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างฝั่งตะวันออก-ฝั่งตะวันตกของไทย ซึ่งเป็นเส้นทางจากมาบตาพุด ผ่านมากรุงเทพฯ เพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี และเชื่อมต่อถึงพม่า เนื่องจากญี่ปุ่นมีโรงงานจำนวนมากที่อยู่ตามแนวเส้นทางรถไฟดังกล่าว
ทั้งนี้ ได้แนะนำว่าหากบริษัทญี่ปุ่นมีความสนใจจะร่วมลงทุนในโครงการรถไฟดังกล่าว ก็ไปรวมตัวเป็นกลุ่มบริษัทและสามารถมาพูดคุยกับกระทรวงคมนาคมได้ ซึ่งตนจะขอให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม รีบผลักดันโครงการรถไฟในเส้นทางดังกล่าวโดยเร็ว
นายสมคิด กล่าวด้วยว่า หลังจากที่ได้ชี้แจงให้ญี่ปุ่นรับฟังถึงการไปร่วมประชุมกับสหประชาชาติ(UN) ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จนั้น เชื่อว่าภายหลังจากที่นายกรัฐมนตรีกลับมาจะมีผลดีที่ช่วยลดแรงกดดันจากภายนอกประเทศให้น้อยลง และหากสถานการณ์ภายในประเทศสงบประกอบกับรัฐบาลยังเดินหน้าทำงานหนักเช่นนี้ เชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆ น่าจะดีขึ้น
พร้อมคาดว่า หากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ปริมาณเงินทุนหมุนเวียนและงบประมาณต่างๆ สามารถกระจายลงไปได้ทัน และกระทรวงพาณิชย์สามารถขับเคลื่อนการส่งออกได้ดีขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจโลกที่กำลังกลับมาดีขึ้น ทั้งสหรัฐ และยุโรปแล้วนั้น ก็เชื่อว่าไตรมาส 1 ปี 59 สถานการณ์ของประเทศไทยน่าจะพลิกกลับมาได้ และมั่นใจว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
ส่วนมูลค่าการส่งออกของไทยที่ยังติดลบต่อเนื่องมาถึง 8 เดือนนั้น นายสมคิด กล่าวว่า หากจะมองในแง่มูลค่าการส่งออกนั้น ตัวเลขอาจจะไม่ดีขึ้น แต่หากพิจารณาในแง่ของปริมาณจะพบว่าสามารถจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น ทั้งกลุ่มสินค้าเกษตร รวมทั้งรถยนต์ ซึ่งตนมีแนวคิดว่าจะให้ความสำคัญกับตลาดส่งออก โดยเฉพาะจีน และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง เช่น อิหร่าน เพราะถือเป็นประเทศใหญ่และมีความน่าสนใจ