พ.ร.บ.ฉบับนี้ ถือเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้สูงวัยสามารถสะสมเงินได้นานขึ้น และสิทธิประโยชน์นี้จะใช้เฉพาะช่วง 1 ปีเท่านั้น เพราะเนื่องจากการเปิดรับสมัครสมาชิก กอช.ในวันแรก ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี สมัครเป็นสมาชิก กอช.ได้ ซึ่งไม่เป็นธรรมกับผู้สูงวัยที่ยังมีกำลังจะสะสมเงินบำนาญเพื่อไว้ใช้ในอนาคต ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ออกกฎหมายนี้มา
"อยากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่านี่เป็นโอกาสทองหรือเราจะเรียกว่าเป็นช่วง Promotion สำหรับผู้สูงวัยก็ได้" นายสมพร กล่าว
พร้อมกับยกตัวอย่างว่า กรณีที่ผู้สมัคร อายุ 55 ปี แม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่วัยเกษียณก็ตาม แต่หากไม่มีกฎหมายฉบับนี้แล้ว จะมีเวลาสะสมเงินเพื่อคำนวณบำนาญเพียง 5 ปี แต่เมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ สมาชิกภาพจะยังคงมีอยู่จนถึงอายุ 65 ปี หลังจากนั้น จะนำเงินทั้งหมดซึ่งประกอบด้วยเงินสะสมของสมาชิก เงินสมทบที่รัฐสมทบให้ รวมไปถึงผลตอบแทนจากเงินทั้งสองก้อนนี้ มาทำการหารเฉลี่ย หากได้เงินเฉลี่ยเกิน 600 บาทต่อเดือน จะถือเป็นเงินบำนาญที่สมาชิกจะได้รับเท่ากันทุกเดือนจนถึงวาระสุดท้าย แต่หากโชคร้าย จากไปก่อนที่เงินในบัญชีจะหมดลง เงินที่เหลือ กอช. จะโอนกลับไปให้ผู้รับผลประโยชน์ที่ได้แจ้งความจำนงไว้
นายสมพร กล่าวว่า กอช. ขอเชิญชวนสมาชิกกลุ่มนี้สะสมให้เต็มจำนวน 13,200 บาทต่อปี เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์เต็มที่ และหากฝากเพียงครั้งเดียวใน 1 ปี จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ กอช.และสมาชิกโดยรวมเพราะจะทำให้ กอช.ประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการโอนเงินที่ กอช.จะต้องจ่ายให้กับธนาคารที่รับฝากเงิน
ขณะเดียวกัน ผู้ฝากเงินก้อนใหญ่เพียงครั้งเดียว ถือเป็นความสะดวก ไม่เป็นภาระที่ต้องนำเงินฝากเข้าระบบในช่วงเวลาที่เหลือของปีนั้น โดยที่รัฐบาลจะมีความสะดวกในการโอนเงินสมทบเพียงครั้งเดียวที่ 1,200 บาทเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องโอนเงินสมทบหลายครั้ง
"สำหรับข้าราชการที่เพิ่งผ่านงานเลี้ยงอำลามาเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา หรือผู้ที่เกษียณอายุก่อนหน้านี้ก็ตาม อยากจะเชิญชวนให้ท่านมาสมัครเป็นสมาชิก กอช.เพื่อสะสมเงินเพื่อเป็นบำนาญไว้ใช้ในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนแล้ว ถือว่าสูงกว่าการนำเงินฝากไว้ที่ธนาคารอย่างแน่นอน" นายสมพร กล่าว
นายสมพร กล่าวว่า จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2558 มีสมาชิกทั้งสิ้น 311,718 ราย ส่งเงินสะสมแล้ว 292 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสมาชิกประเภทอายุ 15-30 ปีจำนวน 14,816 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 4.75 สมาชิกประเภทอายุ 30-50 ปี จำนวน 158,122 รายหรือคิดเป็นร้อยละ 50.73 และสมาชิกประเภทอายุเกิน 50 ปี จำนวน 138,780 รายหรือคิดเป็นร้อยละ 44.52
โดยจำนวนผู้สมัครทั้งหมด มาจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) 196,506 ราย มาจากธนาคารออมสิน 95,647 ราย และมาจากธนาคารกรุงไทย 19,565 ราย โดยเป็นสมาชิกภาคเหนือร้อยละ 9.28 ภาคกลางร้อยละ 17.98 ภาคตะวันออกร้อยละ 4.68 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 57.47 ภาคตะวันตกร้อยละ 3.52 และภาคใต้ร้อยละ 7.08 ซึ่งสมาชิกทั้งหมดนี้ มีอาชีพเกษตรกร ประมาณร้อยละ 73.56 อาชีพค้าขาย ร้อยละ 10.76 และนิสิต นักศึกษา ร้อยละ 1.67 และอาชีพอื่น ๆ ร้อยละ 14.01 โดยมียอดเงินสะสมเฉลี่ยคนละ 880 บาท
ที่ผ่านมา สมาชิกที่สมัครในเดือนส.ค.58 มีจำนวนทั้งสิ้น 217,194 ราย จำนวนเงินสะสมรวม 203.87 ล้านบาท และได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลแล้วจำนวน 155.98 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเงินสมทบ เฉลี่ยร้อยละ 77 ของเงินที่สะสม
อนึ่ง กอช. เป็นหน่วยงานล่าสุดที่รัฐบาลนำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ผลักดันจนสามารถดำเนินการรับสมัครสมาชิกได้ โดย กอช.ก่อตั้งภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.2554 เพื่อเป็นทางเลือกสวัสดิการเงินบำนาญสำหรับประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระและแรงงานนอกระบบ ซึ่งไม่มีสวัสดิการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันยามชราภาพ โดยสมาชิกสามารถสมัครได้ที่สาขาของธนาคารทั้ง 3 แห่งทั่วประเทศ เพียงยื่นบัตรประชาชนเพื่อตรวจสอบสิทธิการสมัครและหากมีคุณสมบัติสมัครได้ สามารถใช้เพียงบัตรประชาชนยื่นสมัครพร้อมกับเงินฝากตามกำลังของแต่ละคน แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 50 บาท