1. ผู้ประกอบการที่มีเอกสารและอุปกรณ์ไม่ครบถ้วน ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 10/2558 ลงวันที่ 29 เมษายน 2558 และต้องหยุดการทำประมง ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นมา จำนวน 4,012 ลำ เป็นเงิน 180,593,500 บาท
2. ผู้ประกอบการประมงที่มีเอกสารหลักฐานครบถ้วนถูกต้อง แต่ไม่สามารถทำการประมงได้ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 24/2558 ลงวันที่ 5 สิงหาคม 2558 และต้องหยุดทำการประมง ตั้งแต่วันที่กฎหมาย/คำสั่งมีผลบังคับใช้ โดยให้ความช่วยเหลือถึงวันที่ 30 กันยายน 2558 จำนวน 330 ราย/ลำ และโพงพาง 4 ราย เป็นเงิน 47,922,600 บาท
โดยกรอบประเภทค่าใช้จ่าย ดังนี้ ค่าแรงแรงงานประมง เฉลี่ย 300 บาท/คน/วัน แบ่งเกณฑ์การคำนวณเป็นประเภทเรือ เป็น 3 ประเภท คือ ต่ำกว่า 10 ตันกรอส จำนวนแรงงาน 3 คน เท่ากับ 900 บาท, 10-30 ตันกรอส จำนวนแรงงาน 4 คน เท่ากับ 1,200 บาท, 30-60 ตันกรอส จำนวนแรงงาน 6 คน เท่ากับ 1,800 บาท และ 60 ตันกรอสขึ้นไป จำนวน 8 คน เท่ากับ 2,400 บาท
เงินช่วยเหลือค่าครองชีพ เฉลี่ย 500บาท/คน/วัน เกณฑ์การคำนวณ ต่ำกว่า 10 ตันกรอส จำนวน 2 คน เป็นเงิน 1,000 บาท, 10 ตันกรอส จำนวนแรงงาน 3คน เป็นเงิน 1,500 บาท
ด้านค่าเช่าที่จอดเรือ/ค่าไฟ เฉลี่ย 200 บาท/ลำ/วัน ประเภทเรือประมง ถ้าต่ำกว่า 10 ตันกรอส จะได้เงินช่วยเหลือ 2,100 บาท/ลำ/วัน, 10-30 ตันกรอส จะได้เงินช่วยเหลือ 2,900 บาท/ลำ/วัน, 30-60 ตันกรอส จะได้เงินช่วยเหลือ 3,500 บาท/ลไ/วัน, 60 ตันกรอสขึ้นไป จะได้เงินช่วยเหลือ 4,100 บาท/ลำ/วัน แต่ถ้าเป็นเครื่องมือโพงพาง จะได้เงินช่วยเหลือ 1,000บาท/วัน
ทั้งนี้ การดำเนินการใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบกลางเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการประมงดังกล่าวให้กองทัพเรือปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
3. ผู้ประกอบการประมงที่มีเอกสารแต่ไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง ทำให้ต้องหยุดทำการประมงจนถึง 30 ก.ย.58 จำนวนทั้งสิ้น 2,658 ราย(ลำ) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบความถูกต้องจากกรมประมง
สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้เครื่องมือที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือใช้ผิดจากที่ได้รับอนุญาต ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 24/2558 นั้น ไม่ควรให้ความช่วยเหลือ เนื่องจากอาชญาบัตรไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด หากผู้ประกอบการต้องการปรับเปลี่ยนเครื่องมือประมง ผู้ประกอบการควรมีส่วนรับผิดชอบด้วย และเห็นควรให้ความช่วยเหลือ โดยจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากกระทรวงการคลัง
"ท่านนายกฯ มีนโยบายว่าอะไรที่ช่วยเหลือก่อนได้ก็ให้ทำ ไม่ต้องรอช่วยเหลือพร้อมกันทีเดียว เพราะฉะนั้นในกรณี 2 กลุ่มแรกที่ชัดเจนแล้ว ก็ให้จ่ายเงินช่วยเหลือก่อนได้เลยจำนวน 228 ล้านบาทเศษ... ส่วนที่ยังตรวจสอบไม่เสร็จก็เร่งดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว"พล.ต.สรรเสริญ กล่าว