นอกจากนี้ยังมีผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2558 นี้ มีบรรยากาศดีขึ้นจากที่เคยซบเซามาในช่วงก่อนหน้า ผู้ประกอบการคงจะเร่งทำการตลาดอย่างเข้มข้น เพื่อเร่งระบายสินค้าค้างขาย ขณะเดียวกันผู้ที่กำลังสนใจซื้อที่อยู่อาศัยน่าจะเร่งโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเร็วขึ้น
ทั้งนี้ ภายใต้มาตรการดังกล่าวนี้น่าจะช่วยให้กิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยกลับมาดีขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจากผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4 นี้ น่าจะมีประมาณ 35,900 หน่วย เติบโตประมาณร้อยละ 11.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งดีขึ้นกว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ที่คาดว่าจะหดตัวประมาณ 8.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมีประมาณ 76,500 หน่วย
อย่างไรก็ดี คาดว่าทั้งปี 2558 นี้ อาจจะหดตัวประมาณร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับที่คาดการณ์ว่าจะหดตัวประมาณร้อยละ 6.5 หากไม่มีมาตรการดังกล่าว ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในระยะข้างหน้า ก็อาจจะทำให้ผู้บริโภคกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยในระยะถัดไป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า มาตรการการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และค่าธรรมเนียมการจดจำนองที่อยู่อาศัย น่าจะส่งผลดีต่อประชาชนทั่วไปที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งจะช่วยในการแบ่งเบาภาระรายจ่ายในการทำธุรกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้ระดับหนึ่ง ซึ่งภายใต้สมมติฐานกรณีที่ราคาประเมินทุนทรัพย์ 1,000,000 บาท ค่าธรรมเนียมการจดจำนองคิดจากกรณีการกู้สินเชื่อวงเงินร้อยละ 80 ของราคาทรัพย์สิน ภายใต้มาตรการดังกล่าวนี้ผู้ซื้อจะประหยัดค่าใช้จ่ายประมาณร้อยละ 99.4 ของค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม(ไม่รวมอากรแสตมป์)
แม้ว่าขณะเดียวกันภาครัฐจะจัดเก็บรายได้ลดลงคิดเป็นร้อยละ 99.4 ของรายได้จากค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ แต่ค่าใช้จ่ายที่ลดลงนั้น ผู้ซื้อสามารถนำไปซื้อสินค้าตกแต่งที่อยู่อาศัย ซึ่งจะช่วยให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง เช่นเดียวกับในส่วนของมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการซื้อที่อยู่อาศัย ที่ประชาชนผู้เสียภาษีจะได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว อย่างไรก็ดีผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากมาตรการฯ ดังกล่าวนี้ จะเป็นกลุ่มผู้ที่มีความพร้อมทางการเงิน และกำลังตัดสินใจจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงระยะเวลา 6 เดือนข้างหน้า
มาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 3 มาตรการนี้ น่าจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในหลายมิติที่แตกต่างกันไป โดยมาตรการผ่อนปรนเรื่องการอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับช่วยเหลือผู้มีรายได้ปานกลางถึงน้อยนั้น น่าจะจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จะเข้ามาช่วยกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสินเชื่อ โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา ลูกค้าของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่ผ่านการอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งบางโครงการมียอดปฏิเสธการขอสินเชื่อสูงถึงร้อยละ 30 ของจำนวนลูกค้าในโครงการ
ขณะที่ผลจากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และค่าธรรมเนียมการจดจำนองที่อยู่อาศัยนั้น จะสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการที่ยังคงมีจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จรอการขาย รวมถึงใกล้สร้างเสร็จในช่วงเวลา 6 เดือน ให้สามารถระบายสินค้าที่มีอยู่เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการมีกระแสเงินสดหมุนเวียนดีขึ้น และลดภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ ในส่วนของมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการ จะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาราคาที่อยู่อาศัยในตลาด พบว่าราคาที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท มีสัดส่วนมากที่สุดประมาณร้อยละ 58.5 ของจำนวนที่อยู่อาศัยที่เปิดขาย โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮ้าส์ที่มีสัดส่วนค่อนข้างสูง