รมว.พาณิชย์ กล่าวว่าได้มีโอกาสตรวจเยี่ยมด่านศุลกากรสะเดา ซึ่งเป็นด่านศุลกากรที่มีมูลค่าการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย สูงเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งได้รับทราบความคืบหน้าโครงการปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดา ระยะที่ 1 งบประมาณ 77 ล้านบาท โดยได้มีการก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2558 โดยจะมีการวางสาย Fiber optics เครื่อง X-ray สัมภาระ และโครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ งบประมาณ 1,630 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาความแออัดของด่าน
พร้อมกันนี้ รมว.พาณิชย์ และคณะฯ ได้ประชุมหารือร่วมกับตัวแทนภาคเอกชนในพื้นที่ เพื่อหารือถึงแนวทางการผลักดันการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย ให้มีการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น และปัญหาอุปสรรคต่างๆ โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณาที่สำคัญ ได้แก่ การผลักดันการค้าชายแดนในระยะเร่งด่วน(Quick Win) ในเรื่องการกำหนดเขตปลอดภาษี การพิจารณาจัดทำ VAT Refund และการขยายเวลาเปิดปิดด่านสะเดา เป็นต้น
นอกจากนั้น ได้มีการพิจารณาความร่วมมือที่ทั้ง 2 ประเทศจะต้องแก้ไขปัญหาร่วมกัน เช่น การจัดตั้งพื้นที่ควบคุมร่วมกัน (Common Control Area) ข้อตกลง ASEAN Multi-Modal Transportation Agreement รถบรรทุกสินค้า 2 แผ่นป้ายทะเบียน การขนส่งสินค้าเน่าเสียง่ายผ่านแดน สำหรับการสนับสนุนการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา ที่ประชุมได้มีการหารือโครงการ Liquidity Fund เพื่อเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการค้าชายแดน และผ่านแดนขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน (อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี) โครงการประกันสินเชื่อระยะที่ 5 และโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ตลอดระยะเวลา 3 ปี)
ทั้งนี้ จังหวัดสงขลามีศักยภาพในการลงทุนสูงเนื่องจากได้รับการจัดตั้งให้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับกับการขยายการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา ซึ่งจะได้หารือในความเป็นไปได้เพื่อเชิญชวนนักลงทุนจากประเทศมาเลเซียร่วมลงทุนกับนักลงทุนในพื้นที่ในธุรกิจที่มีศักยภาพ เช่น เกษตร ประมง สิ่งทอ เครื่องเรือน นิคมอุตสาหกรรม และโลจิสติกส์ต่อไป