"สหกรณ์การเกษตรมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร มีความรู้เฉพาะด้านการเกษตร แต่ยังขาดการพัฒนาในด้านการบริหารจัดการ การทำตลาด ซึ่งหอการค้าไทยจะเข้าไปช่วยเหลือ โดยใช้กลไกของหอการค้าไทยนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้าไปช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และตั้งเป้าหมายที่จะช่วยเหลือสหกรณ์การเกษตรให้ได้ 100 สหกรณ์ภายในปี 59 และมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30%"
สำหรับแนวทางในการช่วยเหลือ หอการค้าไทยจะช่วยยกระดับคุณภาพผลผลิต โดยกำหนดมาตรฐานเพื่อที่เกษตรกรจะสามารถเพาะปลูกได้ตามมาตรฐานสากล ช่วยนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามากำกับดูแลการผลิต มีการเก็บข้อมูลอย่างละเอียดทุกขั้นตอน เพื่อจะนำข้อมูลต่างๆ มาใช้ในระบบตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้วางโครงข่ายเชื่อมโยงข้อมูลจากสหกรณ์ต่างๆ ทั่วประเทศมาเก็บไว้เป็นฐานข้อมูลกลาง เพื่อจะพัฒนาสหกรณ์การเกษตรสู่การเป็นผู้ประกอบการในอนาคตโดยปัจจุบันหอการค้าไทยสามารถเข้าไปช่วยเหลือสหกรณ์การเกษตรในการค้าขายได้แล้ว โดยมีการขนส่งผักผลไม้จากภาคกลางไปจำหน่ายยังภาคใต้ และส่งออกไปจำหน่ายยังมาเลเซียและสิงคโปร์ เป็นต้น
ด้านนายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ขณะนี้ มีสหกรณ์การเกษตรเข้าร่วมโครงการแล้ว จำนวน 29 แห่ง มีหอการค้าจังหวัดดูแลรับผิดชอบ จำนวน 17 หอการค้าจังหวัด โดยหอการค้าจังหวัดพิษณุโลกได้เป็นผู้เริ่มจัดทำโครงการต้นแบบด้วยการผลิตข้าวคุณภาพ ซึ่งประสบความสำเร็จช่วยให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 34%