สำหรับผลผลิตข้าวเปลือกเจ้านาปีฤดูกาลใหม่ เชื่อว่าระดับราคาจะอยู่ที่ตันละ 8,000-8,500 บาท เพราะขณะนี้มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศมารองรับผลผลิตแล้วประมาณ 1 ล้านตัน จากคำสั่งซื้อข้าวรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับฟิลิปปินส์ 300,000 ตัน คำสั่งซื้อจีทูจีจีน 1 ล้านตัน แต่ยังเหลือการส่งออกมอบอีก 300,000 ตัน และคำสั่งซื้อจากอินโดนีเซีย 500,000 ตัน ซึ่งยังไม่รวมตลาดแอฟริกาที่ต้องการนำเข้าข้าวนึ่งจากไทยในระยะนี้ และตลาดอิหร่านที่ไทยกำลังจะเดินทางไปเจรจาขายข้าว หากมีคำสั่งซื้อใหม่เข้ามาเสริม เชื่อว่าราคาข้าวเปลือกเจ้าไม่น่าจะต่ำกว่านี้แน่นอน
ร.ต.ท.เจริญ กล่าวถึงการระบายสต๊อกข้าวเสีย และข้าวเกรดซี(ข้าวเสื่อมคุณภาพ) สู่ภาคอุตสาหกรรมว่า จะขายได้ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัม(กก.) ละ 5-6 บาท เพราะต้องรวมค่าขนส่งข้าวออกจากโกดังให้ผู้ซื้อด้วย ถ้าขายได้ กก.ละต่ำกว่านี้ไม่มีใครซื้อแน่นอน ทั้งนี้มองว่าจนถึงสิ้นปี 59 สต๊อกข้าวรัฐบาลที่มีอยู่ 13 ล้านตัน น่าจะเหลือ 4-5 ล้านตัน จากการระบายข้าวเสียและข้าวเสื่อมสู่ภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับผลผลิตข้าวนาปรังปี 59 ที่จะได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ทำให้ข้าวสารนาปรังลดน้อยลงไปประมาณ 3 ล้านตัน จึงต้องนำข้าวสต๊อกรัฐมาชดเชย ซึ่งน่าจะทำให้ราคาข้าวในปี 59 เพิ่มขึ้นแน่นอน ส่วนการส่งออกข้าวในปี 58 น่าจะได้ 9.5-10 ล้านตัน และปีหน้าประมาณ 10 ล้านตัน
ด้านนางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า แผนการระบายข้าวเสียและข้าวเกรดซีนั้น คณะทำงานระบายข้าวจะร่วมมือกับทุกหน่วยงาน เพื่อทำแผนการระบาย โดยจะเป็นการนำข้าวปริมาณไม่มากมาระบายเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมพลังงานและชีวมวล และมีมาตรการติดตามดูแลไม่ให้ข้าวส่วนนี้หลุดเข้าสู่การบริโภค ซึ่งยอมรับว่ามีความกังวลว่าอาจส่งผลต่อจิตวิทยาในตลาดข้าว แต่ได้หารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้วว่าต้องระบายออกไป โดยจะมีมาตรการติดตามดูแลอย่างเข้มงวด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.57 ถึงปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์ระบายข้าวไปแล้วปริมาณรวม 6.38 ล้านตัน มูลค่ารวม 75,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การระบายข้าวในสต๊อกของรัฐปริมาณ 4.83 ล้านตัน และการระบายข้าวฤดูกาลผลิตใหม่ในตลาดปริมาณ 1.55 ล้านตัน โดยสต๊อกข้าวคงเหลือในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 13 ล้านตัน