โครงการดังกล่าว เกษตรกรสามารถขอกู้เพื่อนำไปซื้อเครื่องจักร เครื่องยนต์ที่ใช้ในการผลิตการแปรรูปหรือการรักษาคุณภาพผลผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร การซื้อรถยนต์ รถบรรทุกที่ใช้ในการขนส่งผลผลิตการเกษตรและผลผลิตการเกษตรแปรรูป และยังสามารถกู้เพื่อนำไปชำระค่าเช่าซื้อ (Refinance) จากบริษัทผู้ประกอบกิจการให้เช่าซื้อเครื่องจักร เครื่องยนต์การเกษตรที่คิดดอกเบี้ยกับเกษตรกรแบบ Flat Rate ได้ด้วย แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์คือวงเงินไม่เกินร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ซื้อ และไม่เกินจำนวนเงินค่าเช่าซื้อคงเหลือพร้อมค่าอุปกรณ์ที่ผ่อนชำระกับบริษัท รวมกับค่าบำรุงซ่อมแซมหรือการจัดหาอุปกรณ์ต่อพ่วงให้ทรัพย์สินนั้นใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คิดอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ร้อยละ 7 ต่อปี กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน 7 ปี และไม่เกินสภาพอายุการใช้งานของทรัพย์สินที่ซื้อ ระยะเวลาการดำเนินโครงการ 3 ปี (ปีบัญชี 2558-2560) หรือสิ้นสุดการจ่ายเงินกู้ไม่เกิน 31 มีนาคม 2561 ทั้งนี้ โดยใช้หลักทรัพย์จำนองค้ำประกันและหรือการใช้บุคคล ซึ่งกรณีใช้บุคคลค้ำประกันสามารถขอใช้สินเชื่อวงเงินสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า เกษตรกรที่ใช้บริการสินเชื่อดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา สามารถนำเครื่องจักร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาเพิ่มมูลค่าผลผลิตภายในฟาร์ม ในสวนหรือไร่นาของตนเองรวมถึงการนำไปให้บริการแก่คนทั่วไปเช่น ซื้อรถไถ รถเกี่ยวนวดข้าว รถตัดอ้อย ไปช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการเกษตร เพิ่มรายได้และสร้างงานในชุมชน การซื้อรถยนต์กระบะรถบรรทุก เพื่อขนผลผลิตไปจำหน่าย การซื้อเครื่องจักรที่ใช้แปรรูปสินค้า ทำบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันรองรับการก้าวสู่ AEC เป็นต้น สำหรับกรณีที่กู้เงินจาก ธ.ก.ส.ไปชำระค่าเช่าซื้อ พบว่าทำให้เกษตรกรสามารถลดภาระดอกเบี้ยลงได้ประมาณรายละ 30,000 บาท
ทั้งนี้ เกษตรกรรายบุคคลหรือเกษตรกรที่รวมกลุ่มกันเป็นวิสาหกิจชุมชน ที่ประสงค์จะใช้บริการเครื่องจักรเครื่องยนต์ร่วมกันในลักษณะ Machinery Pool สามารถสอบถามรายละเอียดและติดต่อขอใช้สินเชื่อตามโครงการได้ที่สาขาของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป