พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของชาวปากีสถาน จากเหตุแผ่นดินไหวซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนต.ค.58 และหวังว่าสถานการณ์ได้กลับสู่ภาวะปกติและประชาชนได้รับการช่วยเหลือและฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ตามเดิมแล้ว รวมทั้งแสดงความเสียใจต่อเหตุอาคารที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมถล่มเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ทั้ง 2 ฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์ไทย-ปากีสถาน ราบรื่นและมีความใกล้ชิดในทุกมิติและทุกระดับมาเป็นเวลากว่า 64 ปี มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างสม่ำเสมอในทุกระดับ ตลอดจนการประชุมภายใต้กลไกความร่วมมือทวิภาคี และยืนยันนโยบายของรัฐบาลที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับปากีสถาน เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่าไทยยินดีให้การสนับสนุนบทบาทของปากีสถานในเวทีนานาชาติ
สำหรับความร่วมมือระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพปากีสถาน ทั้ง 2 ฝ่ายเชื่อว่าจะเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และหวังว่ากรอบความร่วมมือด้านส่งกำลังบำรุง (Thailand-Pakistan Joint Logistics Committee Meeting) ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีเดียวระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพปากีสถานจะมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และสามารถขยายขอบเขตความร่วมมือที่เป็นไปได้ เพื่อประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกอบรมร่วมด้านการส่งกำลังบำรุง และการพิจารณาสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์ประเภทที่ 5 (สป.5) แก่ไทยในกรณีฉุกเฉินให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
ซึ่งนอกจากความร่วมมือด้านการทหารแล้ว นายกรัฐมนตรียังหวังให้มีการผลักดันความร่วมมือไทย-ปากีสถานในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนการท่องเที่ยว และการศึกษาควบคู่กันไป นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะผลักดันความร่วมมือต่อต้านการก่อการร้าย โดยเห็นว่าเป็นภัยต่อประชาคมโลก
ด้านประธานคณะเสนาธิการร่วม กองทัพปากีสถาน แสดงความขอบคุณประเทศไทยที่เป็นประเทศแรกที่ให้ความช่วยเหลือแก่ปากีสถานยามประสบภัยพิบัติ พร้อมกล่าวว่าบทบาททางด้านการทหารของนายกรัฐมนตรีจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารประเทศ และหวังให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นำทหารระดับสูงให้มากขึ้น โดยเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างทหารและประชาชนของทั้งสองประเทศจะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ และภูมิภาค
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย หวังให้ไทยเร่งรัดการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-ปากีสถาน (FTA) ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับจะไปหารือกับกระทรวงพาณิชย์ต่อไป