ดังนั้นประเทศไทยจะต้องอาศัยโอกาสนี้ในการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบจากกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งไทยมีความได้เปรียบจากการเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีการคมนาคมขนส่งติดต่อกันได้สะดวกในการที่จะเข้าไปใช้กลุ่ม CLMV เป็นฐานการผลิตของไทย ซึ่งขณะนี้หลายประเทศผู้ลงทุนเองเริ่มมองว่าประเทศจีนเริ่มมีความอิ่มตัวที่จะเข้าไปขยายการลงทุนแล้ว ประกอบกับอัตราค่าจ้างแรงงานในจีนก็ไม่ได้ต่ำเหมือนเช่นในอดีต จึงเริ่มหันความสนใจที่จะมาลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV มากขึ้นแทน ซึ่งขณะนี้เวียดนามถือเป็นประเทศที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจจะเข้าไปลงทุนอย่างมาก
"วันนี้เวียดนามเริ่มเป็นคู่แข่งดึงการลงทุน ซึ่งตลาดจีนตอนนี้เริ่มอิ่มตัวแล้ว ดังนั้นไทยจะต้องเป็นฐานต่อไปที่จะรองรับการลงทุน เพราะไทยมี partner เป็น CLMV จะต้องทำให้ไทยเป็น HUB อันดับที่ 2 รองจากจีน" นายสุพันธุ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ภาครัฐควรจะต้องสนับสนุนข้อมูลด้านการลงทุนให้แก่เอกชนที่จะเข้าไปลงทุนในกลุ่ม CLMV มากขึ้น โดยเฉพาะบีโอไอที่ควรจะต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ไม่เพียงแค่ส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนภายในประเทศเท่านั้น แต่ต้องสนับสนุนข้อมูลแก่นักลงทุนที่จะออกไปลงทุนยังต่างประเทศด้วย
"BOI ต้องมีบทบาทมากขึ้น ไม่ใช่แค่ส่งเสริมการลงทุนแต่ในประเทศ แต่ต้องทำในลักษณะเดียวกับเจโทรที่สนับสนุนข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นต่อนักลงทุนทั้งด้านการค้า การลงทุนด้วย" นายสุพันธุ์ กล่าว
ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กลุ่มประเทศ CLMV มีประชากรรวมกันถึงกว่า 160 ล้านคน มีการคมนาคมที่เชื่อมโยงติดต่อกันทั่วถึงไปถึงประเทศจีน ดังนั้นหากไทยไม่เริ่มขยายการลงทุนออกไปยังกลุ่ม CLMV โอกาสในการแข่งขันระหว่างไทยกับจีนก็จะเริ่มลดน้อยลงทุกที ซึ่งภาครัฐและเอกชนของไทยจะต้องร่วมกันทำยุทธศาสตร์ในการที่จะเข้าไปแสวงหาลู่ทางการลงทุนใน CLMV ให้มากขึ้น และรัฐบาลต้องให้ความสำคัญอย่างใกล้ชิดกับนโยบายกลุ่ม CLMV เพราะ 4 ประเทศเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ด้วยเช่นกัน
"ถ้าเราไม่ออกไป(ลงทุน) เราก็จะโดนเขาเข้ามา เราตัองรีบทำยุทธศาสตร์ร่วมกันทั้งรัฐและเอกชน ตอนนี้จีนมีพลังมาก และกำลังเข้ามาลงทุนที่ลาวมาก หากเราไม่รีบออกไป โอกาสในการแข่งขันของเราก็จะน้อยลงทุกที" นายอิสระ กล่าว