(เพิ่มเติม) พาณิชย์ เปิดประมูลข้าวเกรดซีต้นปี 59 ส่วนข้าวคุณภาพดีรอพ้นช่วงฤดูข้าวใหม่ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคา

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 16, 2015 16:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.57 จนถึงปัจจุบัน กระทรวงฯ ได้ระบายข้าวในสต็อกของรัฐไปแล้วกว่า 5 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 52,300 ล้านบาท และจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว(นบข.) เมื่อวันที่ 26 ต.ค.58 ได้กำหนดนโยบายชัดเจนว่าจะชะลอการระบายข้าวในสต็อกของรัฐที่มีคุณภาพมาตรฐานและใกล้เคียงมาตรฐานเพื่อการบริโภคในช่วงต้นฤดูที่ข้าวนาปี ปีการผลิต 2558/59 กำลังออกสู่ตลาด(พ.ย.58-ก.พ.59) เพื่อมิให้เกิดอุปทานส่วนเกินมากดทับตลาดซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาข้าวที่เกษตรกรจะได้รับ โดยรัฐจำเป็นต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาข้าวในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ก่อน และจะไม่นำข้าวเพื่อการบริโภคออกมาประมูลจนกว่าจะพ้นช่วงฤดูข้าวใหม่ เพื่อให้กลไกตลาดและมาตรการสนับสนุนต่างๆ ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ในการช่วยผลักดันราคาข้าวเปลือกในประเทศให้มีเสถียรภาพ

ขณะเดียวกันระหว่างนี้ให้นำข้าวที่ต่ำกว่ามาตรฐานมาก ได้แก่ ข้าวเกรด C ข้าวเสีย และข้าวผิดชนิดมาระบายสู่อุตสาหกรรมแทน จนกว่าจะพ้นช่วงของข้าวฤดูกาลใหม่ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ภายใต้การกำกับดูแลที่รัดกุม เพื่อตัดข้าวกลุ่มนี้ออกจากวงจรข้าวปกติ ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวบริโภค รวมทั้งตลาดจะนำมาเป็นข้ออ้างในการกดราคาข้าวฤดูใหม่ไม่ได้

น.ส.ชุติมา กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้ กรมการค้าต่างประเทศจะออกประกาศหลักเกณฑ์ (ทีโออาร์) การจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลในส่วนของข้าวเสีย โดยเบื้องต้น จะเปิดประมูลล็อตเล็กๆ โกดังละประมาณ 1,000-6,000 ตัน รวมไม่เกิน 10,000 ตัน ซึ่งเป็นโกดังในจังหวัดต่างๆ เช่น นครสวรรค์ สุรินทร์ นครราชสีมา นครปฐม กำแพงเพชร และชลบุรี และหลังจากประกาศทีโออาร์แล้ว จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้าไปตรวจสอบคุณภาพข้าว และยื่นซองเสนอราคาประมูลภายในเดือนพ.ย.นี้

“การเปิดประมูลข้าวเสียในครั้งนี้ เพื่อทดลองตลาด โดยจะไม่กระทบกับราคาข้าวในประเทศ เพราะเป็นข้าวเสีย ไม่เกี่ยวข้องกับข้าวในตลาดที่กำลังออกขณะนี้ แล้วที่ใครว่าจะมีผลทางจิตวิทยาทำให้ราคาข้าวตก ขอบอกไม่เกี่ยวกันเลย อย่าเข้าใจผิด เพราะเป็นการประมูลข้าวเสีย ต้องส่งเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น มีระบบการตรวจสอบติดตามชัดเจน มั่นใจว่าจะไม่มีหลุดรอดเข้าสู่ตลาดบริโภคปกติแน่นอน"

สำหรับการดำเนินงานตามนโยบายของ นบข.ดังกล่าว ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว เมื่อวันที่ 28 ต.ค.58 ได้กำหนดแผนการระบายข้าวในสต็อกของรัฐให้สอดคล้องตามสถานการณ์ ดังนี้

1.ช่วงข้าวต้นฤดูนาปี (พ.ย.58-ก.พ.59) กระทรวงฯ จะทดลองเปิดประมูลข้าวเสียจากคลังขนาดเล็กที่มีปริมาณข้าวไม่มากเข้าสู่อุตสาหกรรมที่มิใช่เพื่อการบริโภคของคนหรือสัตว์ เพื่อเป็นการทดสอบกระบวนการประมูลข้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม รวมทั้งมาตรการ ข้อกำหนด และกลไกภาคปฏิบัติในการควบคุมไม่ให้ข้าวเสียรั่วไหลสู่วงจรข้าวตามปกติ ซึ่งหากการดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามระบบที่วางไว้ ต้นปีหน้าจะเริ่มนำข้าวเกรด C(ยกเว้นข้าวหอมมะลิเกรด C) จากคลังขนาดเล็กที่มีปริมาณข้าวไม่มากมาเปิดประมูลเข้าสู่อุตสาหกรรมที่เหมาะสมแบบเปิดกว้างเพื่อให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคาต่อไป ทั้งนี้การระบายข้าวเกรด C ข้าวเสีย และข้าวผิดชนิดเข้าสู่อุตสาหกรรมนั้น กระทรวงฯ จะพิจารณาดำเนินการในปริมาณและช่วงจังหวะที่เหมาะสมด้วยความระมัดระวัง โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อวัตถุดิบหลักที่ภาคอุตสาหกรรมใช้อยู่ อาทิ ข้าวโพด มันสำปะหลัง ภายใต้มาตรการในการกำกับดูแล และบทลงโทษที่รัดกุม โดยมอบหมายหน่วยปฏิบัติทำหน้าที่ในการควบคุมดูแลการขนย้ายข้าวเสื่อมเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรม กำหนดให้ผู้ที่ประมูลได้ต้องมาขออนุญาตขนย้ายข้าวกับกรมการค้าภายใน ภายใต้ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 พร้อมทั้งมีการสุ่มตรวจจากหน่วยงานในพื้นที่เป็นระยะ

2.หลังจากพ้นช่วงต้นฤดูนาปีไปแล้ว คือ ตั้งแต่เดือน มี.ค.59 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะพ้นช่วงที่ข้าวนาปี ปีการผลิต 2558/59 ออกสู่ตลาดแล้ว กระทรวงฯ จะพิจารณาปัจจัยผลจากภัยแล้งว่าผลผลิตในตลาดมีเพียงพอต่อการบริโภคและการส่งออกหรือไม่เพียงใด เพื่อกำหนดแผนการระบายให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การบริหารจัดการข้าวในสต็อกที่มีปริมาณมากถึง 18 ล้านตันเศษ ซึ่งเป็นข้าวที่เสื่อมคุณภาพไปแล้วกว่าครึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ผ่านมาได้พยายามดำเนินการความรอบคอบ รัดกุม โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยคำนึงถึงการรักษาผลประโยชน์สูงสุดของภาครัฐเป็นสำคัญ ภายใต้ปัญหาความยุ่งยากและอุปสรรคมากมาย การดำเนินการบางกรณีต้องใช้ความกล้าในการตัดสินใจเนื่องจากหมิ่นเหม่ต่อการถูกกล่าวหาได้ง่าย รวมทั้งยังต้องดำเนินการกับผู้รับผิดชอบเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐในอีกหลายกรณี ส่งผลให้ผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ที่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการและคณะทำงาน รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานมีความกังวลด้วยเกรงปัญหาที่จะตามมาภายหลัง

อย่างไรก็ตาม ภายใต้คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 39/2558 เรื่อง การคุ้มครองการบริหารจัดการข้าวคงเหลือในการดูแลรักษาของรัฐและการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด ตามอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ที่ให้ความคุ้มครองแก่เจ้าหน้าที่ คณะกรรมการ คณะทำงาน และบุคคล จากการรับผิดทางวินัย ทางแพ่ง และทางอาญา ในกรณีที่ได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ด้วยความสุจริตและยุติธรรมนั้น เป็นมาตรการที่มีส่วนช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้ภาคปฏิบัติมีความมั่นใจในการดำเนินงานมากขึ้น เป็นการแก้ไขข้อกังวลที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการข้าวในสต็อกของรัฐ ระงับยับยั้งความเสียหายของรัฐจากภาระค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องแบกรับเอาไว้ ทำให้การแก้ไขปัญหาข้าวในสต็อกของรัฐบาลดังกล่าวเดินหน้าต่อไปได้

สำหรับการส่งออกข้าวของไทยล่าสุดจนถึงวันที่ 10 พ.ย.58 ส่งออกแล้วประมาณ 8 ล้านตัน มูลค่า 3,800 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 127,000 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีจะส่งออกได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 10 ล้านตัน ส่วนปี 59 น่าจะส่งออกได้ไม่ต่ำกว่า 9 ล้านตัน และในเร็วๆ นี้ จะเซ็นสัญญาขายข้าวให้กับอินโดนีเซีย 500,000 ตัน เริ่มส่งมอบปลายปีนี้ และวันที่ 19 ธ.ค.นี้ จะเซ็นสัญญาขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ให้กับจีน 1 ล้านตัน ซึ่งเป็นสัญญาใหม่ส่วนสัญญาเดิม 1 ล้านตัน ได้ทยอยส่งมอบไปแล้ว 800,000 ตัน เหลืออีก 200,000 ตันเท่านั้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ