และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้อยู่ในดุลยพินิจของ คค. โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยและให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Power) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทนสำหรับการลงนามดังกล่าว
สำหรับสาระสำคัญของร่างกรอบความร่วมมือฯ มีดังนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันว่าความร่วมมือจะเป็นโครงการรถไฟขนาดทางมาตรฐานสายแรกของประเทศไทย 2 เส้นทาง (โครงการรถไฟ) คือ 1. หนองคาย – โคราช – แก่งคอย – ท่าเรือมาบตาพุด 2. แก่งคอย – กรุงเทพฯ
โครงการรถไฟจะดำเนินการเป็น 4 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ – แก่งคอย ช่วงที่ 2 แก่งคอย – ท่าเรือมาบตาพุด ช่วงที่ 3 แก่งคอย – โคราช และช่วงที่ 4 โคราช – หนองคาย ภายใต้รูปแบบอีพีซี (วิศวกรรม การจัดซื้อจัดจ้าง และการก่อสร้าง) และให้มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (เอสพีวี) เพื่อลงทุนในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
(1) ระบบรถไฟ รวมถึงการเดินรถและการซ่อมบำรุง
(2) ส่วนหนึ่งของงานการก่อสร้าง (รวมถึง แหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้า การจ่ายกำลังไฟฟ้า ระบบสื่อสารโทรคมนาคม และระบบอาณัติสัญญาณ)
ทั้งนี้ ฝ่ายจีนจะรับผิดชอบการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ (รวมถึงการสำรวจและออกแบบ) ฝ่ายไทยจะให้การสนับสนุนการวิเคราะห์ผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ขั้นตอนการขอความเห็นชอบ และการเวนคืนที่ดิน ซึ่งคณะผู้เชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่ายจะร่วมหารือและทบทวนการศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟ เพื่อให้เหมาะสมกับระบบรถไฟขนาดทางมาตรฐาน และก่อนการก่อสร้างโครงการ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพิจารณาและปรับปรุง “รายงานการศึกษาทางเทคนิคและเศรษฐกิจ" ที่จัดทำโดยฝ่ายจีนจนกว่าจะเป็นที่พึงพอใจของทั้งสองฝ่าย
อนึ่ง รูปแบบการดำเนินโครงการใช้หลักการ Engineering Procurement and Construction(EPC) จะแบ่งแยกความรับผิดชอบงานกันอย่างชัดเจนทั้งเรื่องขอบเขตงาน แหล่งเงินทุน
"ในเรื่องของแหล่งเงินทุน งบประมาณจะมาจากหลายแหล่ง ในส่วนของไทยเป็นการระดมทุนในประเทศ จากงบประมาณภาครัฐและเงินกู้ในประเทศ ขณะที่ของจีนจะใช้เงินกู้จากธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกของจีน หรือเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนอื่นๆ ภายใต้เงื่อนไขที่ยอมรับได้ ซึ่งเงินกู้ที่จะมาจากต่างประเทศจะต้องไม่มีดอกเบี้ยที่สูงกว่าแหล่งเงินกู้จากในประเทศ เพื่อให้เราได้ประโยชน์สูงสุด"พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
ในด้านการเดินรถและซ่อมบำรุง ช่วง 3 ปีแรก ทางจีนรับผิดชอบเป็นหลัก โดยในช่วง 3-7 ปีไทยและจีนจะรับผิดชอบในสัดส่วนใกล้เคียงกัน แต่หลังจาก 7 ปีไปแล้วทางไทยเป็นผู้รับผิดชอบหลัก แต่จีนจะเป็นที่ปรึกษา ซึ่งสาระของกรอบความร่วมมือมีผลเมื่อมีการลงนามทั้ง 2 ฝ่าย มีเวลา 5 ปี ต่ออายุโดยอัตโนมัติหากไม่มีบอกยกเลิก แต่ถ้ายกเลิกต้องแจ้งล่วงหน้า 6 เดือน
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า นายอาคม เติมวิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า กรอบความร่วมมือดังกล่าวมีความชัดเจน ทำให้เห็นความก้าวหน้าในโครงการแม้ว่าจะยังมีการเจรจาต่อรองเรื่องของดอกเบี้ยอยู่
นอกจากนี้ ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้จะจัดกิจกรรมในเชิงสัญญลักษณ์โดยการวางศิลาฤกษ์ที่ศูนยควบคุมและบริหารการเดินรถ ที่เชียงรากน้อย เพื่อให้เห็นว่า โครงการมีความก้าวหน้าและมีความร่วมมือเกิดขึ้นแล้ว