"ปีหน้าถือเป็นปีแห่งการลงทุน รัฐบาลจัดทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว...ถ้าไม่ลงทุนปีหน้า จะเก็บเงินไว้ทำไม" นายสมคิด กล่าว
พร้อมระบุว่า มาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ทยอยประกาศออกมาก่อนหน้านี้ คาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/58 ประกอบกับหากไม่เกิดสถานการณ์รุนแรงกับเศรษฐกิจจีนก็เชื่อว่า GDP ของไทยในปีนี้อาจจะเติบโตได้มากกว่า 3%
นายสมคิด ระบุว่า สิ่งที่รัฐบาลจะดำเนินการคือการเพิ่มความความสามารถทางด้านการแข่งขัน โดยเฉพาะมติ ครม.เมื่อวานนี้ที่จะเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรม 10 ด้าน ซึ่งภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้รัฐบาลจะตั้งกองทุนขึ้นมาดูแล โดยจะเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมครม.พิจารณาในสัปดาห์หน้า
ประกอบกับรัฐบาลจะมีการโรดโชว์ โดยตนเองจะเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นเพื่อชี้แจงต่ออุตสาหกรรมเหล่านี้เพื่อดึงความสนใจญี่ปุ่นให้มาลงทุนในคลัสเตอร์มากยิ่งขึ้น
ส่วนการทำงานในด้านอื่นๆ ในเรื่องของการจัดเรทติ้งของประเทศ กระทรวงการคลังได้เร่งรัดเรื่อง Ease of Doing Business ซึ่งยังติดขัด 2 เรื่อง คือ เรื่องผลศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และ ประเด็นการขออนุญาตเกี่ยวกับยาจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งมั่นใจว่าหากรัฐบาลตั้งใจทำอย่างเต็มที่เรทติ้งของไทยในปีหน้าต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ การทำงานด้านเชิงรุกในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศจะต้องทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ในการเจรจาทางด้านการค้า โดยจะเน้นการเจรจาในรูปแบบของ PPP ว่าสนใจจะเข้าร่วมลงทุนหรือไม่
"การจัดทำงบประมาณของรัฐบาลจะเน้นการจัดทำงบประมาณตามยุทธศาสตร์แต่ละด้าน เช่น ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มความสามารถทางด้านการแข่งขัน การพัฒนาบุคลากร ความมั่นคง และการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น ซึ่งหากจัดทำได้ตามยุทธศาสตร์ที่รัฐบาวางเอาไว้ก็จะมีเม็ดเงินเข้ามามากขึ้นและสามารถนำไปต่อยอดในเรื่องต่างๆได้ดีขึ้น
ส่วนเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจ นายสมคิด กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลเข้ามาดำเนินนโยบาย ซึ่งสัปดาห์หน้าจะครบรอบ 3 เดือนที่ ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่เข้ามา มาตรการที่ออกมาในช่วงแรก ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ให้กองทุนหมู่บ้าน มาตรการช่วยเหลือ SMEs มาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ ยืนยันว่า นโยบายที่ออกมาทั้งหมดไม่ใช่โครงการประชานิยม ไม่ได้มีผลเรื่องการหาเสียง แต่เป็นการแก้ปัญหาเร่งด่วนเนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจเราซึมลึก มาตรการเหล่านี้จึงออกมาเพื่อความมั่นใจให้กับเศรษฐกิจภายในมากขึ้น และผลที่ออกมาขณะนี้คือตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น โดยจากที่สภาพัฒน์เคยประเมินว่าไตรมาส 3 จะโต 2.9% แต่ขณะนี้มองว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเม็ดเงินในส่วนของ 3 มาตรการจะเริ่มลงไปในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้ และถ้าหากเศรษฐกิจจีนไม่มีปัญหา มองว่าปีนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ดีไม่ดีอาจจะทะลุเกิน 3% ด้วย
"แนวโน้มเศรษฐกิจที่ซึมลงไปนั้น ขณะนี้ความมั่นใจเริ่มกลับมา ดัชนีความเชื่อมั่นก็ดีขึ้นจากการประเมิน ไตรมาส 3 อยู่ที่ 3.9% ไตรมาส 2 อยู่ที่ 2.8% แม้เราจะผงกหัวขึ้นมาแต่ก็ไม่มากนัก ในยามที่เศรษฐกิจโลกเป็นแบบนี้ก็ถือว่าดีขึ้นมาแล้ว ซึ่งเม็ดเงินทั้งหมดจะลงไปในช่วงเดือนพฤศิกายน-ธันวาคมนั้นถ้าไม่มีอะไรเหลือบ่กว่าแรง จีนไม่มีเหุตุการณ์ ดีไม่ดีปีนี้จะทะลุ 3%"
นอกจากนี้เม็ดเงินอาจจะเข้าไปสู่ระบบต่างในไตรมาส 1 ปีหน้า ซึ่งรัฐบาลอยากจะให้เอกชนมีการลทุนเพิ่มมากขึ้นและหากจะให้เห็นจีดีพีเราเติบโตได้ 5-6% นั้น จะต้องทำให้การลงทุนในประเทศอย่างน้อย 10% ต่อปี
อย่างไรก็ตามในขณะนี้คงจะหวังการส่งออกกลับไปโตถึง 10% คงเป็นไปไม่ได้แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักพัฒนาศักยภาพในประเทศ โดยเฉพาะการสร้างกลุ่ม Start up ใหม่ๆให้เกิดขึ้นในประเทศให้มากยิ่งขึ้น และภาคเอกชนควรรู้จักที่จะเรียนรู้สิทธิประโยชน์มากขึ้น เพราะรัฐบาลได้ผลักดันมาตรการต่างๆออกมาเต็มที่แล้ว เหลือแต่เอกชนว่าจะเข้ามาลงทุนเมื่อไหร่
นายสมคิด กล่าวด้วยว่า จะมีการนำเม็ดเงินจากการประมูลคลื่น 4G ไปใช้ยกระดับฐานรากด้านการเกษตรและสร้างที่อยู่อาศัยให้กับคนจนทั่วประเทศ ซึ่งการกระจายเม็ดเงินสู่ฐานรากผ่านเงินกองทุนหมู่บ้าน มองว่าจะมีส่วนช่วยให้เกิด Local Economy กระจายความเจริญและการพัฒนาในระดับท้องถิ่น และหากการประมูลคลื่น 900 MHz อีก 2 ใบๆละ 5 หมื่นล้านบาทจะมีเม็ดเงินนำมาออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนได้มากขึ้นด้วย ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมมาตรการเอาไว้อีก
"ไม่มีอะไรต้องกังวล รัฐบาลดูแลให้ เราไม่ประมาทและอาจจะมีก๊อก 2 เพราะหากประมูลคลื่น 900 MHz อีก 2 ใบได้ในราคาใบละ 5 หมื่นล้านบาทรวมกับที่ประมูลคลื่น 1800 ดูหน้าผมสิ ผมไม่ worry เลย"