"มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นเป็นเพียงมาตรการระยะสั้นที่ออกมาพยุงไม่ให้เศรษฐกิจชะลอ ขณะที่ด้านของการลงทุนในโครงการต่างๆนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งเราจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้น และเชื่อมั่นว่าหากโครงสร้างพื้นฐานเราดี นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศจะเข้ามา" นายอาคม กล่าว
ในส่วนของกระทรวงคมนาคมนั้นได้มีแผนการทำงานระยะ 8 ปี คือตั้งแต่ปี 2558-2565 ที่จะต้องเร่งพัฒนาทั้งระบบ ทั้งทางบก น้ำ อากาศ และระบบราง โดยประกอบด้วย 5 แผนงาน คือ แผนงานที่ 1.การพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าระหว่างเมืองในส่วนของรถไฟรางคู่ ในระยะเร่งด่วนมี 6 สาย คือ 1.เส้นฉะเชิงเทรา-คลอง 19-แก่งคอย 2.เส้นจิระ-ขอนแก่น ซึ่งอยู่ระหว่างการประกวดราคา 3.เส้นประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร อยู่ระหว่างการนำเสนอเข้าที่ประชุมครม. 4.เส้นลพบุรี-ปากน้ำโพ มาบกะเบา-จิระ และ 5.เส้นนครปฐม-หัวหิน อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมสิ่งแวดล้อม
ส่วนความคืบหน้าโครงการรถไฟรางคู่มาตรฐาน 1.435 เมตร ที่มีการร่วมมือกับทางจีน ขณะนี้จะเร่งดำเนินการในส่วนเส้นกรุงเทพฯ-แก่งคอย และเส้นแก่งคอย-นครราชสีมา ซึ่งจะมีการเปิดตัวโครงการรถไฟไทย-จีนที่อาคารศูนย์ควบคุมอาคารเดินรถที่เชียงรากน้อยในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ ส่วนรถไฟความเร็วสูงเส้นกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ที่เป็นความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น ช่วงกลางปี 2559 จะมีการเสนอรายงานผลการศึกษาชั้นกลางเข้าสู่ที่ประชุม ครม.และก่อนสิ้นปีจะมีเสนอต่อ ครม.ขออนุมัติโครงการต่อไป
แผนงานที่ 2.การพัฒนาโครงข่ายขนส่งสาธารณะ เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรในกทม.และปริมณฑล ประกอบด้วยรถไฟฟ้า 10 เส้นทาง ระยะทาง 464 กิโลเมตร, แผนงานที่ 3.การพัฒนาถนนเส้นทางมอเตอร์เวย์ มี 3 เส้นทาง คือเส้นบางปะอิน-นครราชสีมา เส้นพัทยา-มาบตาพุด อยู่ระหว่างการประกวดราคา และเส้นบางใหญ่-กาญจนบุรี
แผนงานที่ 4.การพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ำ เน้นการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งได้มีการช่องทางจราจรจาก 4 ช่องทางเป็น 7 ช่องทาง และแผนงานที่ 5.การเพิ่มขีดความสามารถการให้ลริการขนส่งทางอากาศ ซึ่งจะมีการขยายอาคารเพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้น ทั้งอาคารแซตเทิลไลท์ที่จะรองรับผู้โดยสารได้ 25 ล้านคนต่อปี อาคารเทอมินอล 2 รองรับผู้โดยสารได้ 15 ล้านคน โดยอยู่ระหว่างการประกวดราคาในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมทั้งจะมีการขยายสนามบินดอนเมือง ด้วยการเปิดเทอมินอล 2 ในช่วงต้นปี 2559
สำหรับแหล่งเงินลงทุนโครงการด้านคมนาคมขนส่ง 20 โครงการ เป็นงบประมาณ 84,065.19 ล้านบาท แผนบริหารหนี้สาธารณะ 1.265 ล้านล้านบาท การร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน หรือ PPP 3.76 แสนล้านบาท เงินรายได้ 55,502 ล้านบาท และเงินกองทุนค่าธรรมเนียมผ่านทาง 14,200 ล้านบาท