"นิด้า"มองท่องเที่ยว-เงินทุนเคลื่อนย้ายหนุน GDP Q4/58 โต 3.5% ดันทั้งปีโต 3%

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 23, 2015 12:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน(MPPM) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ประเมินเหตุก่อการร้ายในฝรั่งเศสส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในยุโรปและอเมริกาจากปัจจัยการชะลอตัวด้านการท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวจากยุโรปหันมาท่องเที่ยวในเอเชียมากขึ้น ขณะที่ไทยน่าจะได้รับผลเชิงบวกในภาคการท่องเที่ยวและจากการเคลื่อนย้ายเงินทุน ช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 เติบโต 3.5% หนุน GDP ทั้งปีโตได้ 3%

โดยการก่อการร้ายที่ประเทศฝรั่งเศสซึ่งมีสัดส่วนเศรษฐกิจต่อขนาดเศรษฐกิจยุโรป 14.7% หรือขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหภาพยุโรปส่งผลกระทบต่อธุรกรรมทางเศรษฐกิจเกิดการชะลอตัวลง และมีผลต่อทางเศรษฐกิจต่อเนื่องไปทั่วยุโรปในระยะสั้น

ทั้งนี้ จากผลกระทบดังกล่าวคาดว่าธนาคารกลางยุโรป(ECB) ต้องดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในวงเงินที่มากขึ้น จากเดิมที่ดำเนินมาตรการ QE ด้วยจำนวนเงิน 65,000 ล้านยูโร ซึ่งมีผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยในระยะสั้นอาจส่งผลให้ค่าเงินยูโรผันผวนได้ รวมทั้งจะส่งผลให้เกิดการโยกย้ายเงินทุนไปถือสินทรัพย์อื่นที่มีเสถียรภาพมากกว่า เช่น ทองคำ ทำให้อุปสงค์ทองคำขยายตัว ซึ่งจะส่งผลให้ระดับราคาทองคำในระยะสั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นจากปัจจุบันอยู่ที่ 1,081.3 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนในระยะยาวมีแนวโน้มปรับตัวลดลง

"การโยกย้ายเงินทุนดังกล่าวจะส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจของเอเชียและตลาดหุ้นไทย โดยทิศทางการเคลื่อนย้ายเงินทุนจะเข้าสู่ตลาดทุนเอเชียเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะตลาดหุ้นของไทย และจะมีผลทำให้ค่าเงินบาทเกิดความผันผวนได้ในระยะสั้นๆ ได้" นายมนตรี กล่าว

ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวในภาคพื้นยุโรปคาดว่าจะชะลอตัวลง และภาคการท่องเที่ยวไทยน่าจะได้รับโอกาสนี้ทั้งจากนักท่องเที่ยวไทยยกเลิกการไปเที่ยวฝรั่งเศสในช่วงนี้และหันมาท่องเที่ยวในประเทศแทน ขณะเดียวกันกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและชาวจีนที่มักจะเดินทางไปประเทศฝรั่งเศสในช่วงเวลานี้ อาจปรับเปลี่ยนเส้นทางเข้ามาท่องเที่ยวมาประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 อยู่ที่ 24.3% ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้

ผู้อำนวยการหลักสูตร MPPM NIDA คาดการณ์ว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นประเมินว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(FED) ที่มีขึ้นในเดือนธันวาคมนี้อาจมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมภายใต้เศรษฐกิจสหรัฐที่มีอัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ที่ 5% ในเดือนตุลาคม และอัตราเงินเฟ้อล่าสุดอยู่ที่ 1.5% ยังต่ำกว่าระดับที่จะดำเนินการปรับอัตราดอกเบี้ย

ดังนั้น เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายจึงได้รับปัจจัยเชิงบวกจากอุปสงค์ภายนอก และหากประเทศไทยสามารถเสริมแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยปัจจัยภายในเข้ามาช่วยเสริม โดยเฉพาะการเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนของงบประมาณปี 59 ให้มากขึ้นจากปัจจุบันที่มีการเบิกจ่ายได้เพียง 4% ซึ่งจะยิ่งผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 เติบโตได้ถึง 3.5% และจะทำให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีเติบโตไม่น้อยกว่า 3% ได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ