นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาที่สะสมมานาน โดยสิ่งที่ต้องทำวันนี้คือสร้างความเข้าใจ แบบเป็นครอบครัว พี่จูงน้อง เพื่อนจูงเพื่อน เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ พร้อมย้ำว่าการปฏิวัติและการเข้ามาของรัฐบาลไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์หรือทำเพื่ออำนาจของตัวเอง แต่เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาและทำเพื่อประเทศชาติ
พร้อมยืนยันกับสมาชิกหอการค้าต่างประเทศว่า ไทยจะต้องเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ร่วมกับการสร้างความเข้าใจและการเรียนรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยที่ถูกต้อง โดยรัฐบาลจะใช้เวลาทำงานตามโรดแมพที่วางไว้ ส่วนการแก้ไขปัญหาทั้งหมดไม่สามารถทำได้พร้อมกัน แต่ต้องเริ่มจากการวางรากฐานโดยเฉพาะการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมองว่าหากเศรษฐกิจไม่ดีประชาชนไม่มีรายได้ แผนการพัฒนาประเทศก็ไม่สามารถเดินหน้าได้
โดยขณะนี้รัฐบาลเข้าสู่โรดแมพระยะที่ 2 มีแนวทางการปฏิรูป 11 ด้าน ระหว่างนี้อยู่ในช่วงการปฏิรูประยะที่ 1 ซึ่งเป็นระยะเริ่มต้นต้องทำอย่างต่อเนื่อง มีการใช้อำนาจตาม มาตรา 44 ซึ่งการใช้อำนาจของตนเองเป็นไปในทางสร้างสรรค์ และเหตุผลที่ใช้กฎหมายก็เพื่อดำเนินการกับคนกระทำผิดกฎหมาย ส่วนระยะที่ 3 คือการเลือกตั้ง ที่จะเกิดขึ้นในช่วงกรกฎาคมปี 2560 หากทุกอย่างเป็นไปตามกรอบระยะเวลา ร่างรัฐธรรมนูญผ่านการทำประชามติ ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีความเป็นสากล และมีบางอย่างที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในประเทศไทย เน้นให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ปัญหาของไทยเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งปัญหาความยากจน ปัญหาภัยธรรมชาติที่รัฐบาลจำเป็นต้องแก้ปัญหาและวางแนวทางแก้ไข รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ต้องสร้างความมีเสถียรภาพ สร้างความสงบเรียบร้อย เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการลงทุนและการท่องเที่ยว เนื่องจากปี 2557 ยอดการท่องเที่ยวลดลง และขณะนี้รัฐบาลกำลังปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ตามยุทธศาสตร์ประเทศระยะ 20 ปี
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในระยะแรก ทำให้มีแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้น โดยไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว และที่ผ่านมารัฐบาลได้อนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 77,096 ล้านบาท ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบส่งผลให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณดีขึ้นถึง 92.4% เทียบจากปี 2557 เบิกจ่ายเพียง 64.3%
ส่วนประเด็นความร่วมมือ TPP นั้น ที่สุดแล้วไทยก็ต้องเข้าร่วม แต่ขณะนี้ต้องศึกษาข้อมูล โดยเฉพาะสินค้าการเกษตรและสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์(GI) พร้อมกันนี้ต้องผลักดันและสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มธุรกิจ SME ให้สามารถแข่งขันได้ในอนาคต
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลมีแนวทางในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ส่วนคดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตนั้น รัฐบาลเป็นเพียงผู้นำคดีความต่างๆ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไม่ใช้ผู้ตัดสิน โดยไม่มีการเร่งรัดการดำเนินคดีเพราะองค์กรอิสระร่วมตรวจสอบประเด็นเหล่านี้อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมั่นใจว่ารัฐบาลสามารถแก้ปัญหาได้ดีในระดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับสิ่งที่ต้องแก้ไขเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพันธะสัญญาระหว่างประเทศ ทั้งการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย และปัญหาการบิน หรือ ICAO ขณะเดียวกันจะเร่งผลักดันกฎหมายที่สำคัญให้เกิดความทันสมัยและเอื้อต่อการค้าการลงทุน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เชิญชวนนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะไทยมีความพร้อม มีเสถียรภาพ และมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการถนนมอเตอร์เวย์ รถไฟฟ้าทั้ง 10 สาย รถไฟความเร็วปานกลางและรถไฟความเร็วสูงที่ทุกประเทศสามารถเข้ามามีส่วนร่วม รวมถึงเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งรัฐบาลได้มีการเตรียมการสิทธิประโยชน์ต่างๆ ไว้และมาตราการส่งเสริมการลงทุน โดยยืนยันว่าไทยไม่เข้าข้างประเทศใดประเทศหนึ่ง และพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน