ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก-ปรับอดีตผู้บริหารร่วมกันยักยอกทรัพย์ BBC

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 16, 2015 12:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำคุกและปรับเงินอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด(มหาชน) หรือ BBC กรณีร่วมกันยักยอกทรัพย์ หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการยึดทรัพย์สิน

คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 และ BBC ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่, นายจิตตสร ปราโมช ณ อยุธยา อดีตรองผู้อำนวยการสำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่, ม.ร.ว.ดำรงเดช ดิศกุล อดีตผู้บริหารอาวุโส สำนักบริหารเงินและวิเทศกิจ และ ม.ร.ว.หญิงสุภาณี สารสิน หรือ ดิศกุล อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด BBC ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353, 354 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 307, 308, 309, 311, 312 และ 313

สืบเนื่องจากช่วงเดือน พ.ค.38 จนถึงเดือน ก.ค.39 จำเลยทั้งสี่และนายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษา กก.ผจก.ใหญ่ ร่วมกันวางแผนอนุมัติขายหุ้นเพิ่มทุนของ BBC โดยไม่ตรวจสอบประวัติฐานะของบริษัทผู้เข้ามาจองซื้อหุ้นจำนวน 260 ล้านหุ้นให้กับบริษัท ออลบิ ยูเอสเอ อิงค์ และบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เครดิต โบรคเกอร์เรจ โฮลดิ้ง อิงค์ โดยมอบอำนาจการซื้อขายหุ้นให้นายราเกซ

หลังจากนั้นบริษัททั้งสองนำหุ้นจำนวน 90 ล้านหุ้น คิดเป็นเงินจำนวน 23,170,731.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 570 ล้านบาทไปขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไทยฟูจิ จำกัด เพื่อนำเงินมาชำระค่าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของโจทก์ร่วมรวม 38 ล้านหุ้น และยังได้อนุมัติสินเชื่อจำนวน 126 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่ธนาคารเนชั่นแนลเครดิตแบงก์ รวมทั้งสินเชื่อให้กับบริษัท อาร์คาร์เดีย แคปปิตอล พาร์ทเนอรส์ อิงค์ และบริษัท เอเซซ คอร์ปรเรท โฮลดิ้ง แอนด์ ไฟแนนซ์ อิงค์ อีกรายละ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนายราเกซเป็นผู้ลงนามในตั๋วสัญญาใช้เงินที่ทั้งสองบริษัทนำมาวางประกันขอสินเชื่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.48 ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้อง ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างวาระกัน ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 313 ซึ่งเป็นบทหนักสุด จำคุก 5 กระทงๆ ละ 10 ปี รวม 50 ปี แต่คงให้จำคุกมีกำหนด 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และปรับ 472,122,946.02 ดอลลาร์สหรัฐ และให้นับโทษต่อจากศาลอาญากรุงเทพใต้ที่พิพากษาจำคุกในข้อหายักยอกทรัพย์ด้วย

ส่วนจำเลยที่ 2-4 ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 308 ที่เป็นบทหนักสุด จำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน และปรับคนละ 666,666.66 บาท รวมทั้งให้จำเลยที่ 1 คืนเงินให้ BBC จำนวน 167,090,118.28 ดอลลาร์สหรัฐ หากใช้เป็นเงินบาทให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินปัจจุบัน โดยให้จำเลยที่ 2-4 ร่วมชดใช้เงินกับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 85,733,882.04 ดอลลาร์สหรัฐ หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการยึดทรัพย์สิน ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

อย่างไรก็ตาม นายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 ให้จำหน่ายคดีออกจากระบบเนื่องจากได้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 55


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ