ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% นั้น เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เนื่องจากมีการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจด้วยการสร้างความเข้มแข็งในประเทศไว้แล้ว ซึ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อไทยนั้นคงต้องขึ้นกับปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่สามารถคาดเดาได้เป็นสำคัญ อย่างไรก็ดีในส่วนนี้ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และกระทรวงการคลังได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเป็นภาวะที่ทั่วโลกได้รับรู้และประเมินสถานการณ์ไว้แล้วว่าจะมีทิศทางเช่นนี้ เพราะเฟดเองก็มีการออกข่าวเป็นระยะ เพื่อไม่ให้เกิดการช็อคต่อเศรษฐกิจหรือทำให้เศรษฐกิจผันผวน และทำให้หลายประเทศได้มีการเตรียมปรับตัวไว้รองรับกันแล้ว
สำหรับการประมูล 4G คลื่น 900 MHz ที่ขณะนี้มีการสู้ราคากันขึ้นไปสูงมาก และล่าสุดราคา 2 ใบอนุญาตแตะแสนล้านบาทแล้วนั้น นายสมคิด กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องดีที่ภาคเอกชนผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีการสู้ราคากันในระดับสูงเช่นนี้ เพราะจะทำให้รัฐบาลมีเงินงบประมาณสำหรับใช้ในการพัฒนาประเทศเพิ่มมากและทำให้เศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะจะได้นำมาใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำอยู่ในขณะนี้
นายสมคิด ยังกล่าวถึงการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีนในครั้งนี้ว่า ความร่วมมือกับประเทศจีนถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะหากมียุทธ์ศาสตร์ร่วมกันแล้วจะส่งผลดีในทุกเรื่อง ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องการค้าอย่างเดียว แต่เป็นความร่วมมือกันในทุกมิติ ซึ่งจีนได้ปรับนโยบายที่มีอยู่ให้สอดคล้องกับนโยบายของไทยในการร่วมมือกัน เช่น ความร่วมมือในกลุ่มอุตสาหกรรมในสาขาที่ไทยต้องการพัฒนา และเรื่องการพัฒนา SMEs
"ถ้าภาพความร่วมมือวันนี้ออกไป ก็เชื่อว่าจะสร้างความมั่นใจให้ทั่วโลกได้เห็นว่าไทยกับจีน มีความร่วมมือกัน" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมกันนี้ ฝ่ายไทยได้แจ้งความประสงค์กับทางการจีนว่าต้องการเห็นการประชุมที่มีความต่อเนื่องจากการประชุมร่วมกันในวันนี้ ซึ่งฝ่ายจีนแสดงความเห็นด้วย และพร้อมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ระบุกรณีที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจที่ดี
"ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่หลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ค่าเงินบาทก็เปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับภูมิภาค"นางอภิรดี กล่าว
รมว.พาณิชย์ ยังกล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ 4 ว่า ความร่วมมือไทย-จีนนั้น เป็นจังหวะดีที่ไทยมีการปฏิรูปและพัฒนาด้านต่างๆ เพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนของจีน โดยจะมีการจัดตั้งคณะทำงานประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อขัดข้องที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานใด เพื่อให้การค้าการลงทุนเกิดความสะดวกยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ จากการหารือกับจีนได้รับคำยืนยันเรื่องความสนใจที่จะซื้อมันสำปะหลังจากไทยต่อไป ขณะที่เรื่องข้าวนั้นได้ลงนามแบบรัฐต่อรัฐ(G to G)ไปแล้ว 1 ล้านตัน โดยจะทยอยส่งมอบต่อไป และไทยยังได้เสนอให้จีนซื้อสินค้าเกษตรอื่นๆ เพิ่มเติมอีกด้วย