"ท่ามกลางการแข่งขันการค้าข้าวในตลาดโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องปลี่ยนยุทธศาสตร์การค้าข้าว จากการมุ่งแข่งขันในตลาด mass ที่เน้นการขายเชิงปริมาณแต่ได้ราคาถูก มาเน้นการแข่งขันในตลาด niche ที่เน้นคุณภาพและเพิ่มมูลค่าสินค้าโดยใช้จุดแข็งด้านพันธุ์ข้าวที่หลากหลายและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง บวกกับการเพิ่มเรื่องราวของสินค้าเป็นแนวคิดสำคัญ"
ทั้งนี้ ได้กำหนดประเด็นยุทธศาสตร์ ไว้ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การผลิตมั่นคง – กำหนดสินค้านำร่อง และจัดทำระบบฐานข้อมูลปริมาณและพื้นที่ของแต่ละชนิดพันธุ์ เพื่อให้เกิดความมั่นคง ในการผลิตอย่างแท้จริง ประเด็นยุทธศาสตร์นี้ มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้รับผิดชอบหลัก และมีกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนในการกำหนดและวางตำแหน่งทางการตลาดของสินค้าโดยให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่สนใจด้านสุขภาพและคุณค่าทางโภชนาการ
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การตลาดมั่งคั่ง –รุกตลาดเป้าหมายทั้งในและต่างประเทศโดยชูลักษณะเด่นของ ข้าวแต่ละชนิดและวางตำแหน่งการแข่งขันในตลาดบน
ยุทธศาสตร์ที่ 3 ผลิตภัณฑ์ยั่งยืน – นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีการพัฒนาอยู่เสมอ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้ทันและเหมาะสม โดยเริ่มจากกลยุทธ์สร้างการรับรู้สู่ตลาด โดยการสร้าง ความน่าเชื่อถือในตราสินค้า (Branding) ให้เป็นที่ยอมรับเพื่อเพิ่มมูลค่าในตัวสินค้าข้าว และนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาระบบรับรองคุณภาพให้เป็นสากลในระยะกลางและระยะยาว จากนั้นนำกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยการวิเคราะห์พฤติกรรมการตลาดเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (demand driven) และพัฒนา Branding สู่สากล โดยคัดเลือกผู้ผลิต/ผู้ประกอบการที่ความพร้อมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้นำสินค้าที่ได้รับการพัฒนาคุณภาพจำหน่าย ทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้กลยุทธ์การเชื่อมโยงผู้ผลิตที่ได้รับการพัฒนาแล้วกับตลาด ซึ่งจะพัฒนาและผลักดัน ให้ไทยเป็นฐานการซื้อขายข้าวลักษณะพิเศษของโลกอย่างยั่งยืน
สำหรับประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 และ 3 ข้างต้น มีกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการส่งเสริมการตลาดและพัฒนาผู้ประกอบการโดยจะบูรณาการกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จะร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม พัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวโดยใช้หลักการตลาดนำการผลิต เพื่อให้ประเทศไทยสามารถช่วงชิงความได้เปรียบในตลาดการค้าข้าวยุคใหม่ที่มีการแข่งขันสูง นบข. จึงได้กำหนดให้ยุทธศาสตร์นี้เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและวางกรอบเวลาการทำงานไว้ 1 ปีสำหรับขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์ โดยเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะ “เป็นผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายข้าวลักษณะพิเศษของโลก" ได้ในอนาคตอันใกล้นี้