นายสมคิด กล่าวว่า หากจะสร้างระบบเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งต้องสร้างการเติบโตจากภายใน เพราะหากจะอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชนลงไปเรื่อยๆ เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจอาจทำให้เกิดปัญหาในอนาคต จึงจำเป็นต้องแก้ปัญหาที่ตัวโครงสร้าง ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือ ชนบท ตำบล หมู่บ้าน ที่ต้องคิดค้นว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าในชุมชนได้มาตรฐาน ค้าขายผ่านออนไลน์ได้ ขณะที่ต้องเร่งสร้างการท่องเที่ยวในชุมชนต่างๆ เพราะแหล่งท่องเที่ยวของไทยไม่ได้มีแค่สมุย ภูเก็ต หรือเชียงใหม่เท่านั้น
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่อ่อนแอ ดังนั้น ต้องเร่งปฎิรูปเพื่อแก้ปัญหา โดยเริ่มจากกลุ่มที่อ่อนแอที่สุด คือ ประชาชนระดับฐานราก รัฐบาลจึงใช้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเหมือนกับทุกรัฐบาล โดยให้ผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งมาเป็นแกนนำในการพัฒนาท้องถิ่น เพื่อให้ความเป็นอยู่ของประชาชนฐานรากดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาลมากขึ้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และดัชนีอุตสาหกรรมที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น รวมทั้งดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าก็ปรับตัวดึขึ้นสูงสุดในรอบ 12 เดือน
และรัฐบาลยังคงเดินหน้าแก้ปัญหาความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจไทย ผ่านการสร้างอุตสาหกรรมคลัสเตอร์ ควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก และการเติบโตจากท้องถิ่น โดยทางกระทรวงการคลังได้สนับสนุนงบประมาณส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับหมู่บ้าน กองทุนละ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน ให้กับกองทุนหมู่บ้าน ฯ เพื่อให้สมาชิกกู้ยืมในวงเงิน 60,000 ล้านบาท ผ่านทางธนาคารออมสิน และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร( ธ.ก.ส.)
นอกจากนี้รัฐบาลได้มอบให้ผู้นำชุมชนเดินหน้าคิดโครงการที่จะพัฒนาท้องถิ่นของชุมชนท้องถิ่นของตนเองไว้ล่วงหน้า และหากโครงการใดมีความพร้อมสามารถที่จะเสนอโครงการมาที่รัฐบาลเพื่อได้จัดสรรงบประมาณลงไป เช่น หากหมู่บ้านใดต้องการสร้างยุ้งฉาง เพื่อเก็บผลผลิตทางการเกษตรก็สามารถเสนอมา หรือการพัฒนาการท่องเที่ยวท้องถิ่น เป็นต้น
"เราต้องการให้เงินเหล่านี้พัฒนาโครงการของชุมชน ไม่ใช่กู้ไปใช้เพื่อส่วนตัว" นายสมคิด กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลจะทำงานคู่ขนานทั้งแนวตดิ่งผ่านทางกระทรวงมหาดไทย จังหวัด ตำบล และการทำงานแนวนอน ทำงานผ่านผู้นำชุมชน หมู่บ้าน และจะดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการประชารัฐ ซึ่งขณะนี้ภาคเอกชนให้การตอบรับเข้ามา ที่จะนำสินค้าของชุมชน หรือ โอทอป มาจำหน่ายในสถานีปั้มน้ำมันให้กับสินค้าเหล่านี้ด้วย
นายสมคิด กล่าวว่า ตั้งแต่ตนเองเข้ามารับตำแหน่งและดูแลด้านเศรษกิจนั้น ไทยเผชิญกับปัญหาหลักทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัวที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ กระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนฐานรากที่มีถึง 20-30 ล้านคน ที่เป็นเกษตรกร เมื่อราคาสินค้าเกษตรตกต่ำจนทำให้เกิดความเดือดร้อน ยากจน ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีอำนาจซื้อ สิ่งที่ตามมาคือ เงินทองในระบบก็ขาดหายไป ในระดับบน การค้าการขายไม่หมุนเวียน อุปสงค์โดยรวมในตลาดลดง
นายสมคิด กล่าวว่า ไทยขาดความสามารถในการพัฒนาสินค้า เนื่องจากสินค้าที่เคยเติบโตดีนั้นเริ่มลดลง เนื่องจากไม่มีการพัฒนาด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งหากประเทศไทยไม่มีการพัฒนาก็จะตกไปเรื่อยๆ ที่ผ่านมาตนเองไม่โทษการบริหารงานของรัฐบาลที่ผ่านมา แต่โทษระบบการเมือง
"ผมไม่โทษรัฐบาลที่ผ่านมา แต่โทษการเมืองของเราที่เปลี่ยนรัฐบาลเป็นว่าเล่น ทำให้นโยบายไม่เคยต่อเนื่อง มีการต่อสู้กันเพื่อเอาชนะกัน จึงทำให้ไม่มีเวลามาคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพราะอยู่กับความขัดแย้งกันในประเทศ"นายสมคิด กล่าว