ทั้งนี้ สถานการณ์การฟื้นตัวที่ค่อนข้างจำกัดของเศรษฐกิจโลกในปี 59 อาจทำให้กรอบการฟื้นตัวของการส่งออกไทยต้องเผชิญกับข้อจำกัดตามไปด้วย โดยต้องจับตา 2 ตัวแปรสำคัญ คือ 1.การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 59 (ที่ควรจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีความสอดคล้องกับตัวเลขเป้าหมายของทางการ) และ 2.สถานการณ์ราคาน้ำมัน/สินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก โดยหากสถานการณ์ราคาน้ำมัน/สินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกในปี 59 สามารถกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ก็อาจทำให้แรงกดดันต่อทิศทางราคาสินค้าส่งออกของไทยในภาพรวมทยอยคลายตัวลง
"การร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายปีของราคาน้ำมันตลาดโลกในช่วงปลายปี 58 ก็อาจเป็นนัยว่าความเสี่ยงในช่วงขาลงของกรอบราคาน้ำมัน/สินค้าโภคภัณฑ์ในปี 59 อาจจะลดน้อยลงกว่าในปี 58 (ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 58 ลดลงกว่าร้อยละ 47) ขณะที่ความผกผันของสภาพอากาศโลก (ที่ขณะนี้เริ่มมีการเตือนเกี่ยวกับปรากฏการณ์ลานีญา) ก็อาจมีผลช่วยพยุงทิศทางราคาสินค้าเกษตรในปีหน้าด้วยเช่นกัน" เอกสารเผยแพร่ระบุ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การส่งออกไปสหรัฐฯ และประเทศในกลุ่ม CLMV น่าจะสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 4.0% และ 7.3% ในปี 59 ตามลำดับ โดยมีอานิสงส์จากสัญญาณเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัว นอกจากนี้ ตลาดในกลุ่ม CLMV ก็น่าจะมีปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดเสรีการค้าและการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ส่วนการส่งออกของไทยไปจีนนั้น มองว่า อาจสามารถฟื้นกลับมาขยายตัวในกรอบที่จำกัดที่ 1.0-3.0% ในปี 59 จากที่หดตัวประมาณ 5.0% ในปีนี้ ขณะที่การส่งออกไปอาเซียนเดิม 5 ประเทศ และการส่งออกไปสหภาพยุโรป อาจทำได้เพียงชะลออัตราการหดตัวลง เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในส่วนนี้ยังมีการฟื้นตัวที่ค่อนข้างเปราะบาง และการแข่งขันในตลาดสหภาพยุโรปของไทยอาจเสียเปรียบประเทศคู่แข่งที่มีแต้มต่อจากสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร
ทั้งนี้ แม้การส่งออกของไทยในปี 59 มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นกว่าในปี 58 แต่คงต้องย้อนกลับมามองว่า ระดับการฟื้นตัวของภาคการส่งออกยังคงอยู่ภายใต้กรอบที่จำกัด และเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญหลายแห่งก็ยังมีความเปราะบางในช่วงปีข้างหน้า ดังนั้น ปี 59 จึงยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการในภาคการส่งออกที่ต้องเตรียมปรับกลยุทธ์ให้ทันกับความผันผวนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ควบคู่ไปกับการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไทย รวมทั้งการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมบนฐานเทคโนโลยีเพื่ออนาคต เพื่อเป็นการยกระดับโครงสร้างสินค้าส่งออกของไทย อีกทั้งยังเป็นการเตรียมพร้อมกับการแข่งขันในเวทีการค้าโลกหลังปี 59 เมื่อแต้มต่อในด้านสิทธิพิเศษทางการค้าของไทยอาจค่อยๆ น้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งบางประเทศ หากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP (Trans-Pacific Partnership) เริ่มมีผลบังคับใช้
ขณะที่ภาพรวมการส่งออกในปี 58 หดตัวค่อนข้างลึก เพราะต้องเผชิญแรงฉุดจาก 2 ด้าน ทั้งจากการลดลงของปริมาณการส่งออกและราคาสินค้าส่งออก ซึ่งแตกต่างไปจากสถานการณ์ในช่วงปี 56-57 ที่ปริมาณการส่งออกยังคงประคองตัวเลขการเติบโตไว้ได้ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกในช่วงเวลานั้น จะเริ่มชะลอการขยายตัวลงแล้วก็ตาม
แม้ภาพรวมราคาสินค้าส่งออกของไทยจะทยอยปรับตัวลดลงตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำลงค่อนข้างมาก ท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดโลกระหว่างกลุ่มประเทศผู้ผลิต ขณะที่ระดับสต็อกของประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่อย่างจีนก็ทรงตัวอยู่ในระดับสูงด้วยเช่นกัน
"ตัวแปรสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ราคาสินค้าส่งออกในปี 58 หดตัวลงมากกว่า 2.0% (ซึ่งเป็นภาวะที่แย่ที่สุดในรอบ 14 ปี) ก็คือการดิ่งลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 57 มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีผลกดดันให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ลดต่ำลงตามไปด้วย" เอกสารเผยแพร่ ระบุ