"การลงพื้นที่วันนี้รู้สึกดีใจที่ชาวสุราษฎร์ธานีเพาะปลูกพืชเสริมกับสวนยางพาราไปกว่า 80% ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวจะมีมาตรการเสริมเรื่องการหาจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น โดยมอบกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้ไปดำเนินการจัดการ โดยเน้นให้ชุมชนได้ประโยชน์จากการส่งเสริมการท่องเที่ยวนั้นด้วย"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังมีการพูดคุยถึงเรื่องเร่งรัดในการก่อสร้างถนนเส้นทางคมนาคม เพื่อให้เป็น 2 เลนและ 4 เลน โดยถนนจะต้องดีก่อน ส่วนเรื่องรถไฟค่อยไปดูกันในระยะยาว นอกจากนี้ต้องส่งเสริมเรื่องการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งทางพื้นที่ต้องการเลี้ยงโคขุนศรีวิชัย ซึ่งเป็นพันธุ์ท้องถิ่น และตนเองได้อนุมัติแล้ว เพื่อให้สามารถเลี้ยงได้มากขึ้น และต้องเน้นที่เรื่องการแปรรูปให้มากขึ้น เช่น ทำเนื้อแผ่น เนื้อรมควัน หรือไส้กรอก และนอกจากขายในพื้นที่แล้วก็พยายามหาตลาดขยายที่อื่นด้วย อีกทั้งจะต้องหาคนมาร่วมลงทุนในพื้นที่ให้เพิ่มจากท้องที่ที่มีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ทางด้านเศรษฐกิจจะต้องทำให้ประชาชนมีอาชีพเสริม ไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตรกรรมหรือเลี้ยงสัตว์ เช่น เลี้ยงโคหรือแพะ
นอกจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยังเดินทางไปยังโรงเรียนบ้านหนองเรียน อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเยี่ยมชมนิทรรศการโครงการประชารัฐ โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พร้อมกับมอบเงินช่วยเหลือโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางจำนวน 50 ราย และมอบเงินช่วยเหลือโครงการฟื้นฟูกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจำนวน 50 ราย พร้อมกับพบปะกับประชาชน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อรับฟังปัญหาจากทุกคนไม่ได้หวังผลตอบแทนด้านคะแนนเสียงเหมือนนักการเมือง แต่หวังผลเพื่อทำงานให้ประเทศชาติบ้านเมืองและโดยส่วนรวมเพียงเท่านั้น เพื่อสร้างประเทศชาติให้เข้มแข็ง ซึ่งประเทศเรามีปัญหาอยู่ไม่กี่อย่าง โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่ขาดความเข้มแข็ง ซึ่งในรอบ 20 ปีไม่ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างการค้าขายและการลงทุนเพื่อให้เดินต่อไป เพราะจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ โดยเริ่มจากชุมชนให้การพัฒนาส่งเสริมเกษตรกรรม เพื่อขยายไปยังตำบล อำเภอ กลุ่มจังหวัด ขยายสู่การค้าชายแดน การค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้านไปจนถึงอาเซียน ไปจนถึงโลก
สำหรับการทำงานของรัฐบาล เรื่องแรกคือ การบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วนที่มีอยู่หลายเรื่อง ไม่เฉพาะเรื่องการเกษตร แต่ยังมีเรื่องป่าไม้ ความเป็นอยู่ของประชาชน การทำกิน ราคายางพารา การขาดแคลนน้ำ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะต้องแก้ปัญหาให้ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีเรื่องความรักความสามัคคี การติดกับดักตัวเอง การศึกษา อาชีพ รายได้ ความไม่เป็นธรรม ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งทุกอย่างคือปัญหาที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าไม่ได้
"นี่คือเหตุผลที่รัฐบาลต้องมาอยู่ในวันนี้ ซึ่งมีความเสี่ยงสูง เพราะปัญหามีมาก ซับซ้อนและยาวนาน รัฐบาลพยายามจะรื้อ แต่ยังไม่มีอะไรเสร็จสักอย่าง เพราะมีทั้งปัญหาหลัก ปัญหารอง ปัจจัยภายใน ภายนอกประเทศ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ก็ต้องแก้ไขกันทั้งหมด ซึ่งต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีความสุข เพราะจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเดียวคงไม่ถูกต้อง จะต้องหาสมดุลให้ได้ว่า ทำอย่างไรกฎหมายที่ออกมานั้นจะทำให้สองฝ่ายไม่ขัดแย้ง"นายกรัฐมนตรี ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกคนจะต้องแข็งแรงด้วยตัวเอง คิดเป็น ทำเป็น และพยายามรวมกันให้ได้ อย่าไปหวั่นไหวต่อคนไม่ดี ทุกคนต้องเติบโตจากภายในคือ หัวใจและสติปัญหา เพื่อที่จะรวมกลุ่มไปกับคนอื่นพร้อมๆ กัน รวมกลุ่มในหมู่บ้าน อำเภอ ตำบล ดังนั้น หากมีใครมาพูดให้เกิดความขัดแย้ง ทุกคนต้องทบทวนเสียใหม่ จะต้องทำให้คนทั้งประเทศรักกันให้ได้ เหล่านี้ให้ถือเป็นหน้าที่ของผู้บริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นระดับตำบลไปจนถึงระดับจังหวัด ต้องทำให้ได้ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน ต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานไม่ให้เกิดความขัดแย้ง
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ภาคใต้โชคดีที่ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำ และมีรายได้ต่อหัวถือว่าดีกว่าที่อื่นๆ แต่มีปัญหาเรื่องเดียวคือราคายางตกต่ำ ซึ่งก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยปลูกพืชอื่นเสริมไปพร้อมกันในสวนยาง หรือเลี้ยงสัตว์ไปในสวนยาง เพาะพันธุ์ยางใหม่หรืออาจจะหันไปทำยางถ้วย เพราะปัจจุบันนี้ราคาใกล้เคียงกับยางแผ่น
"ช่วยๆ กันไปขยายแล้วรวมกลุ่มกันมา คนหนึ่งทำหน้าที่กรีดยาง คนหนึ่งทำหน้าที่ยางแผ่น รวมตัวในรูปสหกรณ์ขยายตลาดเรียนรู้ระบบการค้า ทำบัญชีให้เป็น รู้เรื่องภาษี ก็จะได้ช่วยยกฐานะยกระดับกันได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า วันนี้ประเทศไทยมีคน 70 ล้านคน อยู่ในระบบภาษี 10 ล้านคน เหลือเสียภาษีประมาณ 4 ล้านคน อีก 6 ล้านคน ได้รับสิทธิลดหย่อน ดังนั้น 4 ล้านคนนี้ถือเป็นหลักของประเทศ เพื่อนำมาขับเคลื่อนประเทศ และในส่วนของข้าราชการเขาก็เสียภาษี อย่าไปบอกว่าเขาไม่ได้เสียภาษี และข้าราชการโกงภาษีไม่ได้ อีกส่วนหนึ่งของการเสียภาษีคือภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ vat โดยบวกไปกับราคาสินค้าซึ่งเก็บ 7% มาหลายปีแล้วยังไม่สามารถขึ้นได้ เพราะบ้านเมืองเรายังไม่เข้มแข็ง
ทุกวันนี้ประเทศไทยจัดทำงบประมาณขาดดุลอย่างนี้มาทุกปี เพราะรายจ่ายมากกว่ารายได้ จึงเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ดังนั้นจะยกเลิกเรื่องรัฐสวัสดิการไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี การศึกษาฟรี การรักษาพยาบาลฟรี เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังใครบิดเบือน ตนเองไม่เคยคิดที่จะเลิก มีแต่จะคิดว่าหาเงินมาจากไหน แล้วจะทำให้ดีขึ้นอย่างไร
"อย่าออกมาเดินขบวนต่อต้านเรื่อง 30 บาทกับผมอีก ได้ยินกันทุกคนแล้วนะ ขอถือโอกาสชี้แจงเลย และต่อไปถ้าทุกคนสามารถมีหมายเลขของตัวเองได้ ไม่ได้จะเอามาประจานอะไรอย่างที่เขาเอาไปว่า บัตรประชาชนก็คือบัตรประชาชน แล้วยังจะต้องมีบัตรให้คนที่ไม่ได้เสียภาษี เพื่อเป็นข้อมูลเก็บเอาไว้เฉยๆ เพื่อให้เขาไปใช้รัฐสวัสดิการ ขึ้นรถเมล์ฟรี ขึ้นรถไฟฟรี หรือวันหน้าถ้าทำได้ ก็อาจจะเอาไปขึ้นรถไฟฟ้าฟรีก็ได้ และมีอีกหลายอย่างที่จะนำมาสู่ในเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องของอนาคตที่รัฐบาลทำอยู่ ไม่มีการแบ่งชนชั้น อย่ากังวล ไม่ใช่เอามาเขียนประจานในบัตรอย่างที่เขาว่า ไม่ได้เขียนประจานบนบัตร ก็เหมือนแค่บัตรเครดิตใบหนึ่ง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีเวลาเหลืออีกแค่ 1 ปี 6 เดือน ทำงานตามโรดแมป ทำงานตามรัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งต้องการทำให้ประเทศชาติเข้มแข็ง เพื่อให้ทุกคนสามารถกำหนดชะตาชีวิตหรืออนาคตของประเทศได้ด้วยตัวของทุกคน ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนทุกคนก็ทำอยู่แล้ว เพราะทุกคนเป็นคนลงคะแนนเลือกตั้ง ดังนั้นทุกคนเป็นคนเลือกตั้งเป็นคนลงประชามติ โดยต้องดูสาระข้างในว่ามันคืออะไร วันนี้หลายคนยังไม่ได้ดู ดูแต่เพียงว่าต้องเลือกตั้ง ซึ่งพอเพียงหรือไม่ ต้องดูว่าจะทำอย่างไรเมื่อเลือกตั้งแล้วได้คนดีมาปกครองบ้านเมือง มีธรรมาภิบาล มีความหวังให้กับพวกเรา และมีกำหนดที่ชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในปีนี้ ปีหน้า 3 ปี หรือ 5 ปี หรือแผนการที่จะบอกได้ว่าอีก 20 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะมีอะไรบ้าง ไม่ว่าการคมนาคม เรื่องน้ำ หรือเรื่องเศรษฐกิจ