สำหรับหลักการจะมีการผ่อนปรนให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมทำบัญชีเดียวจะไม่ถูกตรวจสอบและเอาผิดย้อนหลัง แต่หลังจากนี้ไปจะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง โดยผู้ประกอบการจะต้องมาลงทะเบียนกับกรมสรรพากร เฉพาะผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 96% ของผู้ประกอบการทั้งหมด ส่วนอีก 4% ที่เหลือเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีรายได้มากกว่า 500 ล้านบาทนั้น มองว่ามีความสามารถในการชำระภาษีอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเข้าร่วมโครงการดังกล่าว
นอกจากนี้จะมอบสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ไม่เกินปีละ 30 ล้านบาท หากเข้าร่วมโครงการจะยกเว้นภาษีนิติบุคคลให้เหลือ 0% ในปีแรก ส่วนปีที่ 2 จะลดให้เหลือ 10%
รมว.คลัง กล่าวว่า จะกำหนดให้ในอีก 3 ปีข้างหน้าหรือในปี 2562 สถาบันการเงินจะต้องพิจารณาการยื่นขอสินเชื่อของลูกค้า โดยมีบัญชีของผู้ประกอบการที่ยื่นเสียภาษีกับกรมสรรพากรเป็นเอกสารประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการต้องเข้าร่วมโครงการทำบัญชีเดียวเท่านั้น
ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การออกกฎหมายมารองรับการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวนี้ ถือเป็นการช่วยผ่อนปรนเพื่อดึงผู้ที่อยู่นอกระบบภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบการชำระภาษีมากขึ้น มีการจัดทำบัญชีอย่างถูกต้อง ถือเป็นการจัดระบบและปฏิรูปการชำระภาษีครั้งใหญ่ของประเทศ
"รัฐบาลจะไม่ใช้วิธีนิรโทษกรรมภาษี แต่จะใช้วิธีผ่อนปรนบางอย่าง คือ นำวิธีการตรวจสอบการชำระภาษี การตรวจสอบการชำระบัญชีต่างๆ มาใช้ ซึ่งควรต้องมีมาตรการตรงนี้ และ ครม.เห็นว่าการจะมีมาตรการผ่อนปรนนั้นจะใช้การพูดลอยๆ หรือใช้แค่มติ ครม.ผ่อนปรนไม่ได้ ต้องมีกฎหมายรองรับเพื่อดึงมาเข้าระบบที่มีการกำกับตรวจสอบได้เข้มงวดมากขึ้น" นายวิษณุ กล่าวพร้อมกับคาดว่ากฎหมายที่จะออกมาเพื่อรองรับมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้