การออกมาตรการเร่งรัดให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ จึงได้ปรับปรุงกระบวนการขั้นตอนการเข้าร่วมลงทุนโครงการ PPP จากเดิมที่ใช้เวลา 25 เดือน ให้เหลือ 9 เดือน เพราะต้องเดินหน้าลงทุน 6 โครงการลงทุนขนาดใหญ่ในครึ่งแรกของปี 59 รวมทั้งการเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมอนาคตของไทย (New Growth Engine) ด้วยการให้สิทธิประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10-15 การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย การเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุน การทำวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากรเฉพาะด้าน และดอกเบี้ยเงินกู้ ผ่านกองทุนพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันวงเงิน 10,000 ล้านบาท การหักค่าใช้จ่ายจากการวิจัยและพัฒนาได้ 3 เท่า ในช่วงปี 58-62 รวมถึงการดึงระดมทุนผ่านกองทุน Thailand Future Fund วงเงิน 100,000 ล้านบาท รองรับการสร้างโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการ กำหนดตั้งให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 59 จากนั้นจะเริ่มชักชวนภาคเอกชนมาร่วมลงทุน
สำหรับการดูแลบูคคลธรรมดา ได้ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติเหลือร้อยละ 15 และยังเตรียมพิจารณาภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของประชาชนทั่วไปจากปัจจุบันเพดานอยู่ที่ร้อยละ 35 แบบขั้นบันได 7 ขั้น เพื่อลดภาระให้กับประชาชนและให้สอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้าน และยังเตรียมหาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการนำร่าง พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง นำกลับมาพิจารณา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีและนำรายได้จากทรัพย์มาพัฒนาประเทศ รวมถึงภาษีสิ่งแวดล้อม บนสมมติฐานผู้ทำลายสิ่งแวดล้อม ผู้สร้างมลภวาะต่อสิ่งแวดล้อมจะต้องรับภาระในการบำบัดของเสีย
อย่างไรก็ตามสิ่งที่กระทรวงการคลังเป็นห่วงและกังวงมากที่สุด คือปัญหาภัยแล้ง เพราะในปี 59 นี้ จะมีปัญหาภัยแล้งหนักสุดในรอบหลายปี แต่เกษตรกรชาวนาหลายพื้นที่ยังปลูกข้าวนอกฤดูเป็นจำนวนมาก และภัยแล้งดังกล่าวจะกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม จึงต้องเตรียมมาตรการเอาไว้ช่วยดูแล เช่น ส่งเสริมให้เอกชนออกไปดูแลเกษตรกรให้ปลูกพืชใช้น้ำน้อย การรณรงค์ส่งเสริมให้นิคมอุตสาหกรรม โรงแรม มุ่งประหยัดน้ำ เพราะปัญหาภัยแล้งในปี 59 นี้ จะสร้างภาระทางการคลัง