"ภารกิจในปีนี้คณะทำงานเศรษฐกิจจะดูแลโมเมนตัมเติบโตในช่วงที่พอเหมาะพอควร...เครื่องยนต์ทุกเครื่องเดินหน้าวิ่งเต็มที่ไม่มีไขลาน"นายสมคิด กล่าว
ทั้งนี้ เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบด้วยด้านการส่งออก ซึ่งตั้งเป้าให้กระทรวงพาณิชย์ต้องผลักดันให้การส่งออกทั้งปีโตได้ 5% ซึ่งจะมีการประเมินการทำงานของข้าราชการด้วย และช่วงกลางปีจะมีการประชุมกับฑูตพาณิชย์เพื่อให้เข้าใจแนวทางในการขับเคลื่อนการส่งออกของรัฐบาลด้วย
ด้านการท่องเที่ยว ปีที่ผ่านมาถือเป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญในการด้านเศรษฐกิจ ซึ่งในปีนี้จะเน้นส่งเสริมสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ พร้อมทั้งสั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดเตรียมงบประมาณพิเศษเพื่อลงทุนด้านการท่องเที่ยว
อีกทั้ง จะเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐ โดยจะเร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายโดยเร็วที่สุด และอยากให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนช่วยในการลงทุน หากภาคเอกชนใดมีความพร้อมก็ควรเริ่มลงทุนตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ได้เลย
อย่างไรก็ตาม แม้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จะประเมินภาพรวมเศรษฐกิไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร รวมถึงยังมีความผันผวนในเศรษฐกิจของจีน และความกังวลในการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ แต่รองนายกรัฐมนตรี กลับมองว่าเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างการเติบโตจากภายในประเทศ ซึ่งยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่ใช่วิธีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพราะไม่อยากให้เป็นภาระต่อรัฐบาลหน้า แต่หากจะมีการอัดฉีดเม็ดเงินจะลงไปในการพัฒนาที่สอดรับการแนวทางการปฏิรูป และสร้างความเข้มแข็งในระยะยาว
นอกจากนี้ นายสมคิด ยอมรับว่า ช่วงปีใหม่ยังรู้สึกทุกข์ใจในภาคการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ซึ่งตนเองมีมาตรการที่ส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก โดยเฉพาะชาวนา ซึ่งในวันศุกร์นี้จะมีการหารือร่วมกับธกส.และธนาคารออมสินใช้วิธีการขับเคลื่อนในแนวนอน ทำงานร่วมกับสหกรณ์การเกษตรทั่วประเทศ กองทุนหมู่บ้าน และร่วมกับภาคเอกชนเข้ามีส่วนช่วยในการสร้างแปลงสาธิตวิธีการทำการเพาะปลูกที่หลากหลาย
พร้อมกันนี้ จะเน้นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าไปเพิ่มมูลค่าสินค้าที่มีอยู่ โดยจะหาแนวทางให้เกิดการแปรรูปสินค้าในท้องถิ่น เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีการลงทุน ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ แต่การลงทุนในท้องถิ่น โดยให้โจทย์ออมสินไปแล้ว รวมทั้งเชื่อว่าหลังจากนี้ทั้งธกส.และออมสินจะเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนได้มาก นอกจากนี้ยังมีแนวคืดในการสร้างเอสเอ็มอีเกษตรกรในรูปแบบเกษตรอุตสากรรมด้วย ซึ่งอยากเห็นการตั้งโรงงานขนาดเล็กที่เน้นการเกษตร และจะให้บีโอไอให้การส่งเสริมสิทธิพิเศษด้วย
"ผมให้โจทย์กับออมสินไปแล้ว และออมสินจะช่วยผมได้มาก และถือเป็นหน้าที่โดยตรงของธกส. ถ้าทำไม่ได้ยุบทิ้งไปเลย ส่วนกรุงไทยก็ต้องเข้ามาช่วยไม่เช่นนั้นจะเข้าไปรื้อเลยเราเป็นหุ้นใหญ่แท้ๆ กรรมการบอกยินดีช่วยเต็มที่ภาคเอกชนจะสามารถเข้ามาช่วยได้สภาเกษตรกรเข้ามาช่วยได้"นายสมคิด กล่าว
นอกจากนี้ที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ อยากให้มีการลงทุนโดยกองทุนหมู่บ้าน หรือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในชนบท เช่นการสร้างฝาย ยุ้งฉาง โรงงานแปรรูปขนาดเล็ก และตอนนี้ได้ให้โจทย์ไปกับกองทุนหมู่บ้านให้ไปคิดค้นโครงการ และให้ผู้นำเริ่มส่งการบ้านมา
ทางด้านไอที ได้มีการพูดคุยกับรมว.ไอซีที โดยระบุว่า ในช่วงเวลาที่เหลือปีครึ่ง จะเร่งสร้างอินเตอร์เนตบรอดแบรนด์ 10,000 จุดทั่วประเทศโดยจะนำเงินจากการประมูล 4G มาใช้ในเรื่องนี้ ซึ่งหากทำได้จะเป็นการเชื่อมโยงไปสู่ระบบ E-commerce โดยเฉพาะหากสร้างตลาดในชุมชนได้ก็จะมีช่องทางในการค้าขายเพิ่ม
นอกจากนี้ นายสมคิด เปิดเผยว่า ได้พูดคุยกับกระทรวงการคลังในช่วงที่ผ่านมา หากมีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่เกิดขึ้น รัฐบาลพร้อมให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และทางธนาคารออมสินได้เข้ามามีส่วนช่วยในการสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ด้วย
อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมีการตั้งกองทุนร่วมลงทุน แต่การดำเนินการยังช้ามาก ดังนั้นกระทรวงการคลังจะต้องเร่งเดินเครื่องเพื่อให้มั่นใจ และได้มีการพูดคุยกับผู้ว่าธปท.อยากให้ช่วยตรงนี้ในการสร้างกระดูกสันหลังใหม่ของประเทศ ซึ่งหากมีแบงก์พาณิชย์อื่นมาร่วมด้วย ก็ได้ฝากให้ธปท.จะต้องเกื้อหนุนเพื่อสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ในอนาคตต่อไป
ส่วนการเดินหน้าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน นายสมคิด มั่นใจว่าปีนี้จะเดินหน้าอย่างเต็มที่ โดยในส่วนรถไฟไทยจีนนั้นที่มีการร่วมลงทุน โดยได้ชี้อแจงว่า ที่บางคนมองว่าล้าช้านั่น เพราะต้องการเจรจาใหเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ ส่วนโครงการร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือ PPP ยืนยันว่า ทุกโครงการจะเป็นไปตามที่วางแผนอย่างแน่นอน จะเริ่มขับเคลื่อนแน่นอนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
นอกจากนี้สิ่งที่จะต้องทำ คือ เรื่องภาษีมรดกจะเกิดแน่นอน แต่ว่าต้องไม่ใช่รังแกคน การปรับโครงสร้างภาษีเกิดแน่นอน แต่การปรับโครงสร้างภาษีต้องดูแลคนที่มีรายได้น้อย รวมถึงบ้านเพื่อคนมีรายได้น้อยจะเกิดขึ้นในปีนี้เช่นเดียวกัน
นายสมคิด ยังกล่าวอีกว่า ไม่เป็นห่วงเรื่องหนี้สาธารณะ เพราะรัฐบาลจะขับเคลื่อนผ่านนโยบายการคลังโดยต้องเดินหน้าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อเก็บรายได้จากทรัพย์สินมาพัฒนาประเทศ การปรับโครงสร้างภาษีเพื่อให้จัดเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผลักดัน Holding Company ในการถือหุ้นรัฐวิสหากิจให้เกิดขึ้น และมั่นใจว่าจะเข้าสู่สามารถจัดทำงบสมดุลได้ภายใน 7 ปี โดยหนี้สาธารณะไม่เกิน 49%
"ปีใหม่แล้ว ผมคิดว่าไม่น่ากลัวเกินไป ภาคประชาชน ภาคเอกชนถือเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยรัฐบาลทำให้ดีที่สุด เหนื่อยใจไม่ว่าขออย่างเดียวให้เมืองไทยผ่านไปให้ได้"นายสมคิด กล่าว