บอร์ดสสว.อัดฉีดงบราว 2 พันลบ.เพิ่มขีดความสามารถ มอง GDP SME ปี 59 โต 5%

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday January 7, 2016 13:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เฉพาะกิจ) ว่า ได้สั่งการให้ดำเนินการทุกรูปแบบที่จะส่งเสริมธุรกิจ SMEs ที่มีมากถึง 2.7 ล้านรายทั่วประเทศ แต่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมายเพียง 8 แสนราย ดังนั้นจะต้องหาวิธีการให้ SMEs ที่เหลือเข้าสู่ระบบ ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการต่างๆ เข้าไปช่วยเหลือ ที่สำคัญต้องมีการคัดแยกประเภทและกลุ่ม SMEs ทั้งในกลุ่มของผลประกอบการดีอยู่แล้ว และกลุ่มขนาดเล็กที่ยังไม่เข้มแข้งแต่มีศักยภาพที่สามารถส่งเสริมได้

นายกรัฐมนตรี ยืนยันการตั้งคณะทำงานภาคธุรกิจ 12 คณะ ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ภาคเอกชน แต่กลุ่มเหล่านี้จะเข้ามาช่วยเหลือในการเชื่อมโยง ทั้งด้านการวิจัยพัฒนา การออกแบบ การตลาด เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า

ด้านนางสาลินี วังตาล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) เผยผลประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เฉพาะกิจ) ครั้งที่ 1/2559 ว่า ที่ประชุมฯ เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้การปฏิบัติงานของ สสว.เกิดความคล่องตัว โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และนางอรรชกา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม เป็นประธานอนุกรรมการบริหาร

ทั้งนี้ที่ประชุมฯ มีมติให้ความเห็นชอบการจัดสรรเงินกองทุนของ สสว.จำนวน 1,977.645 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ต.ค.58 เพื่อบูรณาการงานส่งเสริม SMEs ของประเทศให้เติบโตได้ตามศัยภาพ โดยจัดสรรเงินกองทุนออกเป็น 6ส่วน ประกอบด้วย

1.การจัดสรรเงินกองทุน 437.17 ล้านบาท ให้กับ 3 กระทรวง ดำเนินงาน 9 โครงการ ประกอบด้วย1.กระทรวงอุตสาหกรรม งบประมาณ100 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการยกระดับผลิตภัณฑ์ SMEs สู่ตลาดโลก โครงการแปลงเครื่องจักรเป็นทุน และโครงการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี, 2.กระทรวงพาณิชย์ งบประมาณ 187.17 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการสร้างนักการค้ามืออาชีพ โครงการกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ:สร้างโอกาส SMEs ไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุน และโครงการแฟรนไชส์ไทยสู่ตลาดโลก, 3.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งบประมาณ 150 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) 2.โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนา SMEs สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ระยะต่อเนื่อง 3.โครงการสร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ และ 4.โครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์

2.จัดสรรเงินกองทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งกองทุนพลิกฟื้น SMEs โดยให้ สสว. ดำเนินการให้ความช่วยเหลือ SMEs และธุรกิจการเกษตรที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ซึ่ง สสว.จะคัดเลือกจากลูกค้าธนาคารของรัฐ ซึ่งมีปัญหาในการจ่ายชำระหนี้ แต่มีความบริสุทธิ์ใจ และมีเจตนาที่จะทำกิจการต่อไป หรือ SMEs ที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งส่งงบการเงินให้กับกระทรวงพาณิชย์อย่างสม่ำเสมอ และมียอดขายลดลงค่อนข้างมากอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลา 3 ปี โดยวินิจฉัยเชิงลึกเป็นรายกิจการเพื่อหาประเด็นที่จำเป็นต้องปรับปรุง ทั้งในด้านการผลิต และการจำหน่าย และหาก SMEs รายใด มีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจต่อไป และยังมีศักยภาพเพียงพอ สสว. จะประสานงานกับเจ้าหนี้เดิมเพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ในกรณีที่ SMEs ที่ได้ปรับโครงสร้างหนี้แล้ว จำเป็นต้องได้รับสภาพคล่องเพิ่ม สสว. จะพิจารณาให้กู้ยืมจากกองทุนพลิกฟื้นของ สสว. เป็นเงินกู้ระยะยาวและไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย

3.จัดสรรเงินถกองทุน 200 ล้านบาท ดำเนินโครงการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (Start-up) โดยบูรณาการความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชมงคล 9 แห่ง ซึ่งมีศูนย์บ่มเพาะ 35 ศูนย์กระจายกันอยู่ทั่วประเทศในทุกสาขาอาชีพ เช่น เกษตรแปรรูป ออกแบบ งานด้านวิศวกรรม ฯลฯ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการใหม่ และนักธุรกิจที่เป็นสมาชิกของสมาพันธ์เอสเอ็มอี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รับเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้ประกอบการใหม่ ตั้งเป้าหมายสร้างผู้ประกอบการใหม่ 3-4 หมื่นราย

4.จัดสรรเงินกองทุน 200 ล้านบาท ดำเนินโครงการส่งเสริม SME ที่ทำกิจการอยู่แล้วให้เติบโตได้ยิ่งขึ้น (SMEs Strong/Regular) โดย สสว. จะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และจะให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าวินิจฉัยในเชิงลึกเป็นรายกิจการและหาทางช่วยปรับปรุงการผลิต การให้บริการ และการจำหน่าย ธนาคาร SMEs จะให้การสนับสนุนทางด้านการเงินในกรณีที่ SMEs ต้องการปรับปรุงหรือขยายกิจการ โดยมีเป้าหมาย 10,000 ราย ภายในปี 2559

5.จัดสรรเงินกองทุน 40.475 ล้านบาท ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ให้บริการครบวงจร (SMEs One-stop Service Center:OSS) เพิ่มอีก 20 แห่ง รวมเป็น 31 แห่ง เพื่อทำหน้าที่เป็นเสมือนสาขาของ สสว. คือ ให้คำปรึกษาแนะนำด้านธุรกิจแก่ SMEs เป็นตัวกลางประสานระหว่าง SMEs กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ดูแล SMEs ที่ได้รับการส่งเสริมจาก สสว.โดยตรงและจากหน่วยงานร่วมของ สสว. ตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการติดต่อและให้ข้อมูลรวมทั้งสร้าง Net work ในเขตพื้นที่ และ 6.จัดสรรเงินกองทุน 100 ล้านบาท ดำเนินโครงการประชารัฐเพื่อวิสาหกิจชุมชน จัดตั้งร้านค้าประชารัฐ จำนวน 148 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตสินค้า OTOP และวิสาหกิจชุมชนให้มีที่ขายสินค้าถาวร รวมทั้งปรับมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ต้องการของตลาด ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สนับสนุนการสร้างร้านค้าประชารัฐ จำนวน 148 แห่ง ซึ่งบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) สนับสนุนพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. โดยไม่คิดค่าเช่า กรมการพัฒนาชุมชน และ สสว. ร่วมกันคัดสรรสินค้าจาก OTOP และวิสาหกิจชุมชน โดยปรับมาตรฐานและรับรองคุณภาพสินค้า รวมทั้งช่วยดูแลการบริหารจัดการของร้านค้าประชารัฐ เช่นการจัดหาบุคลากร และการขนส่งสินค้า ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ช่วยสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ชุมชนที่ส่งสินค้ามาขาย ตั้งเป้าหมายให้ชุมชนสามารถบริหารร้านค้าประชารัฐได้ด้วยตนเองภายในเวลา 3 ปี และสามารถยกระดับวิสาหกิจชุมชนขึ้นเป็นผู้ประกอบการ SMEs คาดว่า โครงการดังกล่าวจะเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2559 ซึ่งเป็นนโยบายที่นายกรัฐมนตรีมอบในที่ประชุม

ผุ้อำนวยการ สสว.คาดว่า จีดีพีเอสเอ็มอีในปี 2558 อยู่ที่ร้อยละ 3.7-4.8 ส่วนในปี 2559 คาดว่าจะโตได้ประมาณร้อยละ 5 พร้อมทั้งตั้งเป้าสัดส่วนเอสเอ็มอีต่อจีดีพีในอีก 5 ปีข้างหน้า คือ ในปี 2563 อยู่ที่ระดับ 45% ต่อจีดีพี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ