พาณิชย์แนะภาคเอกชนวางกลยุทธ์-กลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมก่อนเจาะตลาดจีน

ข่าวเศรษฐกิจ Friday January 8, 2016 11:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เผยสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครกวางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน รายงานว่า จีนยังคงตั้งเป้าเป็นตลาดผู้บริโภคที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2020 โดยคาดว่าการบริโภคของภาคเอกชนจีนในปี 2020 จะมีมูลค่าสูงถึง 6.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2015 ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 4.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 9 ต่อปี

โดยปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่จะช่วยให้จีนประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้มี 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยแรก ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางระดับบนที่การใช้จ่ายเกิดขึ้นเพื่อสถานะทางสังคม ปัจจัยที่สอง ได้แก่ ครอบครัวที่มีฐานะเน้นการใช้จ่ายสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ และปัจจัยที่สาม ได้แก่ คนรุ่นใหม่ที่ใช้จ่ายอย่างเสรีและเป็นแรงผลักดันการเติบโตของ E-Commerce ซึ่งคาดว่า E- Commerce จะกลายเป็นช่องทางการขายที่สำคัญ โดยจะมีสัดส่วนถึงร้อยละ 42 ของการเติบโตการบริโภคทั้งหมดในจีน และกว่าร้อยละ 90 มาจากการใช้อินเตอร์เน็ตบนมือถือ

อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า E-Commerce กำลังจะเปลี่ยนรูปแบบของตลาดจีน เนื่องจาก E-Commerce จะมีสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าทั่วไปไม่มี เช่น สินค้าออแกนิกส์และอาหารนำเข้า ซึ่งมียอดสั่งซื้อออนไลน์เพิ่มขึ้นถึง 8 เท่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์การตลาดแบบเดิมที่เคยประสบความสำเร็จในอดีตอาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป

"ผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายและวางกลยุทธ์ให้เหมาะกับตลาด การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย การวิเคราะห์ฐานเงินเดือนของกลุ่มเป้าหมาย และการคัดเลือกสินค้า จะเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจประสบผลสำเร็จ" นางมาลี กล่าว

ในปี 2016 การเติบโตของการบริโภคในจีนเปลี่ยนไปจากเดิมที่สินค้าจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กลับเป็นภาคบริการจะเข้ามาแทนที่และกลายเป็นแรงผลักดันหลัก โดยภาคบริการจะมีสัดส่วนถึงร้อยละ 51 ของการเพิ่มขึ้นของการบริโภค ผู้บริโภคจีนมีความต้องการสินค้าและบริการที่แสดงถึงความเป็นอยู่ที่ดี เห็นได้จากการเติบโตของสินค้าสุขภาพ การศึกษา และการท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสินค้าที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน

ด้าน น.ส.พรรณกาญจน์ เจียมสุชน ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครกวางโจว กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการไทยจะเน้นขายสินค้าในจีนมากกว่าการให้ความสำคัญในการขยายตลาดภาคบริการ ทั้งที่การบริการของไทยมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับ ขณะนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคจีนเปลี่ยนไป จึงถือเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปดำเนินธุรกิจบริการในประเทศจีน โดยอาศัยช่องว่างในภาคบริการของจีนที่มีขีดจำกัดความสามารถในการแข่งขัน และอาศัยตลาดผู้บริโภคที่มีจำนวนประชากรกว่า 1.3 พันล้านคน รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่นักลงทุนจะได้รับจากการผ่อนคลายกฎระเบียบในด้านต่างๆ ในเขตการค้าเสรีใหม่ที่จะเอื้อประโยชน์แก่นักลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลจีนได้จัดตั้งเขตการค้าเสรีใหม่ขึ้นอีกใน 3 มณฑล ได้แก่ มณฑลฝูเจี้ยน มณฑลกวางตุ้งและนครเทียนจิน

สำหรับธุรกิจบริการในจีนที่มีแนวโน้มสดใสซึ่งไทยมีศักยภาพในการเข้าไปลงทุน ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร สปา นวดแผนไทย โรงพยาบาล การขนส่งทางเรือ ธุรกิจค้าปลีก เป็นต้น โอกาสสำหรับการลงทุนในธุรกิจบริการสาขาต่างๆ ในจีนที่เปิดกว้างขึ้น นอกจากจะช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการที่เข้าไปลงทุนแล้ว ยังเป็นการปูทางให้กับการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับบริการของไทยโดยเฉพาะเครื่องหอม เภสัชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์สปา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมความงามได้อีกทางหนึ่งด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ