โดยกองทุนดังกล่าวมีกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม คือ 1. SMEs ระยะเริ่มต้น (Start-up Stage) ที่มีศักยภาพสูง 2. SMEs ที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยเฉพาะที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่มีประโยชน์ต่อการขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศ 3. SMEs ที่เป็น Supplier ธุรกิจภาครัฐและภาคเอกชนขนาดใหญ่ หรือเป็นสมาชิกของสภาหอการค้าไทย หรือหน่วยงานภาครัฐ และ 4. SMEs ที่เป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ซึ่งกำหนดนโยบายการลงทุนใน SMEs ระยะเริ่มต้นที่มีศักยภาพสูงรายละไม่เกิน 10 ล้านบาท ส่วน SMEs ขนาดย่อม ขนาดกลาง วงเงินลงทุนรายละไม่เกิน 50 ล้านบาท
สำหรับระยะเริ่มต้นของโครงการ ธนาคารออมสินได้จัดตั้งกองทุนที่ 1 วงเงิน 500 ล้านบาท โดยมีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ซึ่งเป็นสถาบันหลักอีกแห่งหนึ่งในการพัฒนาประเทศ เข้าร่วมลงทุนในวงเงิน 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธนาคารมีแผนที่จะร่วมลงทุนกับนักลงทุนและสถาบันอื่นๆ เพื่อจัดตั้งกองทุนจนครบตามเป้าหมาย 2,000 ล้านบาทต่อไป
"ธนาคารออมสินได้วางงบเพื่อเป็นการลงทุนในกองทุนวงเงินราว 2,000 ล้านบาท และปล่อยสินเชื่ออีกราว 2,000 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารกรุงไทย และ SME Bank ก็จะใส่เงินลงทุนและปล่อยสินเชื่ออีกแห่งละ 4,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 12,000 ล้านบาท โดยหลังจากจัดตั้งกองทุนที่ 1 แล้วเสร็จ จะประสานงานกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทยเพื่อให้ส่งลูกค้าที่มีความต้องการเข้ามาร่วมลงทุน อีกทั้งขณะนี้ผู้จัดการกองทุนมีลูกค้าที่อยู่ระหว่างการพิจารณาแล้วจำนวน 10 ราย และน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือนในการพิจารณา หลังจากนั้นจะลงทุนได้ "นายชาติชาย กล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวจะมีระยะเวลาลงทุนรวม 5 ปี จากนั้นจะสามารถคืนผลตอบแทนของการลงทุนได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับบริษัทนั้นๆ จะมีผลกำไรได้ในช่วงปีไหน ซึ่งอาจจะคืนผลตอบแทนได้ไวกว่านี้
"รัฐบาลเล็งเห็นว่าควรต้องช่วยเหลือหากทุกฝ่ายช่วยกันโอบอุ้มภาคเอสเอ็มอี ก็จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศได้รับผลดีตามไปด้วย และยังเป็นอีกมิติด้านการลงทุนที่ได้ตลาดฯ มาร่วมผลักดัน ขณะที่ธนาคารมีเครือข่ายสาขากว่า 1,000 แห่ง เป็นศักยภาพที่จะเข้าถึงผู้ประกอบการได้มากนอกเหนือจากการให้สินเชื่อปกติของธนาคาร"ผอ.ธนาคารออมสิน กล่าว
ด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญและพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการสร้างความแข็งแกร่งให้กับ SMEs ธุรกิจ Start-up และกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) สอดคล้องกับแผนงานสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการเตรียมความพร้อมและส่งเสริมให้ธุรกิจดังกล่าวได้ใช้ประโยชน์จากตลาดทุนเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีธุรกิจกลางและขนาดย่อมเข้ามาจดทะเบียนและระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai แล้ว 147 บริษัท คิดเป็นมูลค่าการระดมทุนประมาณ 77,000 ล้านบาท ซึ่งความร่วมมือกับธนาคารออมสินในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยผ่านผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งมีจำนวนมากและมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย
ขณะที่เงินลงทุนของ ตลท.ได้มีการจัดสรรไว้ทั้งสิ้น 500 ล้านบาท แต่แบ่งมาลงทุนในกองทุน SMEs Private Equity Trust Fund จำนวน 100 ล้านบาท ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่จะพิจารณาการลงทุนต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การลงทุนดังกล่าวตลท.ไม่ได้คาดหวังที่จะให้ SMEs เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในขณะนี้ แต่เป็นการลงทุนเพื่อมุ่งหวังการเติบโตและมีศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งหาก SMEs เหล่านั้นมีศักยภาพที่ดีแล้ว ก็จะเป็นตัวช่วยให้ประเทศเติบโตไปในทางที่ดีขึ้น และหากมีผลการดำเนินงานที่ดีแล้วก็จะขึ้นอยู่กับบริษัท SMEs ว่าจะเข้าจดทะเบียนหรือไม่
อนึ่ง วันนี้ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ "การส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs ในเชิงบูรณาการ" ระหว่างธนาคารออมสิน กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ในการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน SMEs Private Equity Trust Fund กองที่ 1 วงเงิน 500 ล้านบาท