สำหรับการปิดระบบครั้งนี้ ช่องทางและบริการทางการเงินที่จะทำให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการในวันและช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ได้แก่ เครื่อง ATM เครื่อง ADM ของธนาคารออมสิน, บัตรอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทของธนาคารออมสิน, การชำระค่าสินค้าและบริการ ด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทของธนาคารออมสิน ทั้งในและต่างประเทศ, การโอนเงินระหว่างธนาคาร (ORFT) ในทุกช่องทางการให้บริการ, การโอนเงินจากต่างประเทศเข้า บัตรออมสินวีซ่า เดบิต ทุกประเภท
นายชาติชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า การปิดระบบครั้งนี้ เป็นการปฏิบัติตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะให้สถาบันการเงินปรับเปลี่ยนระบบมาตรฐานความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินในบัตรอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้แก่ บัตรเอทีเอ็ม และบัตรเดบิต จากเดิมที่ใช้แถบแม่เหล็กมาเป็น “ชิปการ์ด" ซึ่งใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มีความปลอดภัยสูง ป้องกันการปลอมแปลงได้เป็นอย่างดี โดย ธปท.กำหนดให้วันที่ 16 พฤษภาคม 59 ทุกธนาคาร จะต้องออกบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตใหม่ เป็นชนิด “ชิปการ์ด" ซึ่งในส่วนของธนาคารออมสินได้จัดซื้อบัตรใหม่ชนิดชิปการ์ดแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบบัตร ซึ่งคืบหน้าไปแล้วกว่า 90%
ขณะที่เครื่องให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ คือตู้เอทีเอ็ม และตู้รับฝากเงิน จะต้องปรับปรุงเพื่อรองรับระบบ “ชิปการ์ด" ไม่ต่ำกว่า 86% ของเครื่อง ซึ่งปัจจุบันธนาคารออมสินมีตู้เอทีเอ็มที่ติดตั้งแล้ว 6,610 เครื่อง (86% คิดเป็น 5,746 เครื่อง) ได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนระบบเพื่อรองรับบัตรชนิดชิปการ์ดไปแล้ว 1,700 เครื่อง คิดเป็น 26% ของจำนวนเครื่องทั้งหมด ส่วนที่เหลือต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 59
ทั้งนี้ ในส่วนของธนาคารออมสิน ได้เตรียมการเข้าสู่ระบบนี้ ตั้งแต่ต้นปี 57 แบ่งการเตรียมการออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.แผนงานปรับเปลี่ยนตู้เอทีเอ็มเดิมให้รองรับบัตรชิปการ์ดนอกเหนือจากการรับบัตรชนิดแถบแม่เหล็กที่มีอยู่เดิม 2.แผนงานปรับเปลี่ยนบัตรเดบิตและบัตรเอทีเอ็มชนิดแถบแม่เหล็กให้เป็นชนิดชิปการ์ดด้วยมาตรฐานของ VISA และ 3.แผนงานปรับปรุงระบบ Host ให้รองรับการใช้บัตรเดบิตและเอทีเอ็มชนิดชิปการ์ด ซึ่งมีความคืบหน้าไปตามแผนงานมาเป็นลำดับ และได้จัดทำแผนงานรายงานความคืบหน้าเป็นรายไตรมาสต่อ ธปท. อย่างต่อเนื่อง