เงินให้เปล่าจำนวน 2 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้จัดสรรให้กับโครงการการบริหารจัดการความเสี่ยงจากน้ำท่วมและการป้องกันภัยพิบัติในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ส่วนเงินให้เปล่าอีกจำนวน 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐได้จัดสรรให้กับโครงการความช่วยเหลือทางวิชาการเพื่อช่วยให้สถาบันทางการเงินเฉพาะกิจสามารถให้บริการทางการเงินแก่ผู้ที่ไม่อยู่ในระบบธนาคารได้
ทั้ง 2 โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนญี่ปุ่นเพื่อลดความยากจน (Japan Fund for Poverty Reduction) ซึ่งบริหารจัดการโดยเอดีบี
นายเจมส์ นูเจน ผู้อำนวยการสำนักเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอดีบี กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดมหาอุทกภัยเมื่อปี พ.ศ. 2554 รัฐบาลไทยได้พยายามดำเนินมาตรการควบคุมอุทกภัยขั้นสูงหลายวิธี โครงการการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัตินี้จะช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยอาศัยความร่วมมือของชุมชน เช่น การเตรียมการรับมือกับปัญหาน้ำท่วม การตอบสนองและการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม ส่วนโครงการที่สองนี้เป็นการสนันสนุนการเงินแบบองค์รวมเพื่อช่วยลดความแตกต่างของความสามารถในการเข้าถึงบริการทางการเงินแบบเต็มรูปแบบ
ชุมชนชนบทและชุมชนเมืองที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 5 แห่ง จะถูกเลือกให้เป็นชุมชนนำร่องในการเข้าร่วมโครงการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ซึ่งจะทำให้การเตรียมการป้องกันอุทกภัยในอนาคตและความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้ ที่ในท้องถิ่นมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นเมื่อเกิดภัยพิบัติอย่างฉับพลัน
ภายใต้โครงการนี้ จะจัดให้มีการอบรมและสนับสนุนการสร้างขีดความสามารถแบบครบวงจร ซึ่งจะใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ 2 ปี ตั้งแต่มกราคม 2559 ถึง ธันวาคม 2560
ส่วนโครงการที่สองนั้น จะสนับสนุนหน่วยงานที่กำกับดูแลสถาบันทางการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งมีบทบาทหลักในการขยายการให้บริการทางการเงินแก่คนไทยที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการของธนาคารได้ ความช่วยเหลือดังกล่าวจะดำเนินการผ่านสำนักเศรษฐกิ จการคลัง และสำนักคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ รวมถึงองค์กรต่างๆ ที่มีส่วนช่วยในการปรับปรุงยุทธศาสตร์ และการวางแผนธุรกิจให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
สำหรับโครงการนี้คาดว่าจะช่วยให้สถาบันการเงินเหล่านี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถให้บริการได้ อย่างครบวงจร
หน่วยงานกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์ จะได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการทำหน้าที่กำกับดูแล และการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าเมื่อพบการกระทำผิดทางการเงินเพื่อป้องกันผู้บริโภคที่มีระดับรายได้ ระดับต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ณ ปัจจุบัน มีสหกรณ์ออมทรัพย์ ในประเทศไทยทั้งสิ้น 8,000 แห่ง และมีสมาชิกจำนวน 11.5 ล้านคน โดยมีสินทรัพย์ คิดเป็นประมาณ 5% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของสถาบันทางการเงิน
โครงการนี้ยังรวมถึงการจัดเสวนาเพื่อแบ่งปันความรู้จากต่างประเทศในเรื่องการเข้าถึงบริการทางการเงิน โดยเป็นการนำเสนอบทเรียนตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างองค์กำกับดูแลภาคการเงินของญี่ปุ่น และกระทรวงการคลังของไทย