รมว.คมนาคม กล่าวว่า การทดลองขนส่งคอนเทนเนอร์ขนาด 12 ฟุตครั้งแรกในประเทศไทยจะช่วยให้การขนส่งและขนถ่ายสินค้ามีความคล่องตัว เนื่องจากตู้มีขนาดเล็ก การเชื่อมต่อกับรถบรรทุกสามารถเข้าถึงผู้รับสินค้าได้สะดวก แม้ในพื้นที่คับแคบ ประหยัดพื้นที่จัดเก็บ และลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง โดยได้มีการทดลองยกตู้สินค้าขนาด12 ฟุต จากสถานีหนองปลาดุก-บางซื่อครั้งนี้ เพื่อให้เห็นความสะดวกและคล่องตัว
โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จะทดลองขนส่งสินค้าทางรางด้วยตู้สินค้า (คอนเทนเนอร์) ขนาด 12 ฟุต ใน 2 เส้นทางที่เปิดใช้บริการได้จริง และมีศูนย์กระจายสินค้า คือ เส้นทางที่ 1 เส้นทางบางซื่อ-ลำพูน-บางซื่อ ระยะทาง 722 กม. โดยกำหนดให้สถานีลำพูนเป็นพื้นที่กระจายสินค้าในภาคเหนือ เปิดให้ทดลองใช้บริการระหว่างวันที่ 8-12 ก.พ.59 ส่วนเส้นทางที่ 2 เส้นทางบางซื่อ-กุดจิก (จ.นครราชสีมา) -ท่าพระ (จ.ขอนแก่น) -กุดจิก (จ.นครราชสีมา) -บางซื่อ ระยะทาง 433 กม. โดยมีสถานีกุดจิก และสถานีท่าพระ เป็นพื้นที่กระจายสินค้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามโครงการศึกษาความเป็นไปได้สำหรับการขนส่งตู้สินค้า (คอนเทนเนอร์) ขนาด 12 ฟุต โดยจะสามารถสรุปผลการศึกษาได้ประมาณกลางปี 2559
"ปัจจุบันการขนส่งสินค้าของไทยจำเป็นต้องลดต้นทุนและลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดปัญหาจราจร ดังนั้นเป้าหมายของรัฐบาลคือ หาทางส่งเสริมและจูงใจให้ผู้ประกอบการหันมาใช้รถไฟในการขนส่งสินค้าแทนรถบรรทุก โดยในการทดลองนี้ทางญี่ปุ่นจะมีการวิจัยระยะเวลาในการโหลดสินค้า การขนส่ง การปรับปรุงตารางเวลาเดินรถให้เหมาะสม ให้สินค้ามีความปลอดภัยและใช้เวลาน้อยที่สุด ซึ่งขณะนี้ ร.ฟ.ท.อยู่ระหว่างการปรับปรุงเพื่อเสริมความแข็งแรงของทางรถไฟ และบางช่วงจะก่อสร้างเป็นทางคู่" นายอาคม กล่าว
รมว.คมนาคม กล่าวว่า ส่วนการเดินรถขนส่งสินค้าตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกตอนใต้ (Lower East – West Corridor) เส้นทางกาญจนบุรี (บ้านพุน้ำร้อน) -กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง และกรุงเทพฯ-อรัญประเทศ ระยะทาง 574 กม.นั้น จะเกิดขึ้นหลังจากมีการทดลองและสรุปการศึกษาก่อน นอกจากนี้จะต้องมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อบริหารจัดการเดินรถ ทำการตลาด และลงทุนในการขยายเป็นระบบทางคู่รวมถึงการเดินรถโดยสารคาดว่าจะสรุปในปีนี้ ซึ่งมีบริษัทญี่ปุ่นสนใจเข้าร่วมทุนด้วย
สำหรับการใช้ตู้จนสินค้าขนาด 12 ฟุตในประเทศไทยจะมีข้อดี 5 ข้อ คือ 1.มีความคล่องตัวในการขนส่งเข้าเมือง ชุมชน เข้าถึงโรงงานแหล่งกระจายสินค้าได้สะดวก 2.ช่วยลดต้นทุน ผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ที่สามารถใช้บริการตู้ขนาดเล็กลงจากเดิมที่มีตู้ขนาด 20 และ 40 ฟุต ซึ่งอาจจะเสียเวลารอและมีค่าใข้จ่ายสูงกว่า 3.สามารถเชื่อมโยงในการขนส่งสินค้า ประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งลาว มาเลเซีย กัมพูชา ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่าไทยได้สะดวกขึ้น 4.ใช้รางขนาด 1 เมตรที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยบริหารจัดการตารางการเดินรถให้ตรงต่อเวลา เกิดประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจกับผู้ใช้บริการ และ 5.เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากญี่ปุ่น
ด้านนายซึโตะมุ ชิมุระ รองอธิบดีกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น กล่าวว่า ประเทศญี่ปุ่นมีรถไฟขนส่งสินค้าความเร็ว 70 กม./ชม.ถึง 500 ขบวนต่อวัน และวิ่งได้ตามกำหนดเวลากว่า 90% ซึ่งญี่ปุ่นจะได้นำประสบการณ์ในการบริหารจัดการการขนส่งสินค้าทางรถไฟ รวมไปถึงการใช้คอนเทนเนอร์ เพื่อช่วยประเทศไทยในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม การลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และการใช้ประโยชน์จากการขนส่งทางราง บริเวณรอบๆ เส้นทางเศรษฐกิจด้านใต้ของประเทศไทยนั้นก็มีโรงงาน และบริษัทญี่ปุ่นอยู่มาก การพัฒนาในครั้งนี้จะส่งผลไปถึงการเติบโตของเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนโดยรวมด้วย