รวมทั้งยังใช้โอกาสนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซีย ในระหว่างการเยือนรัสเซีย โดยรมว.พาณิชย์ จะเข้าพบหารือกับรมว.พัฒนาเศรษฐกิจการค้าของรัสเซีย และภาคเอกชนรายสำคัญของรัสเซีย สำหรับการเยือนเบลารุสจะได้เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของเบลารุส และพบหารือกับประธานคณะกรรมการปิโตรเคมิคอลแห่งชาติพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของบริษัทค้ายางรายใหญ่ของเบลารุส
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการเยือนสาธารณรัฐรัสเซียครั้งนี้ สองฝ่ายต้องการให้มีการยกระดับความสัมพันธ์ทางด้านการค้าการลงทุน โดยคาดว่าจะสามารถนำไปสู่การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับรัสเซีย เพื่อให้มีคณะกรรมการร่วมในระดับสูง ในการยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีและเป็นพื้นฐานขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างกัน และการหารือเพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าทวิภาคี เพื่อให้มีการเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย โดยเฉพาะยางพารา ข้าว และสินค้าเกษตรอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีภาคเอกชนไทยรายใหญ่และนักธุรกิจไทยที่สนใจตลาดรัสเซียเข้าร่วมกิจกรรม Business Matching รวม 37 บริษัท จากกลุ่มธุรกิจต่างๆ อาทิ กลุ่มอาหาร ได้แก่ ข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว ผักผลไม้สด กระป๋อง และแปรรูป กาแฟ น้ำขิง น้ำผลไม้ ซอสปรุงรส เครื่องแกง กลุ่มเครื่องมือแพทย์ เวชภัณฑ์ และเครื่องสำอาง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มเสื้อผ้า กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ และกลุ่มสินค้าบริการด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพในตลาดรัสเซีย ซึ่งขณะนี้ มีบริษัทฝ่ายรัสเซียตอบรับเข้าร่วมงานแล้วกว่า 40 ราย
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในการพบหารือกับภาคเอกชนรายใหญ่ของรัสเซียแบบ One on One Meeting รวม 10 บริษัท และจะมีการประชุม Thai-Russian Business Roundtable Meeting จึงคาดว่าจะเป็นโอกาสให้ภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายจะสามารถขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน
ทั้งนี้ รัสเซียนับเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไทยในกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช มีประชากรกว่า 142 ล้านคน ในปี 2558 มีมูลค่าการค้าการค้ารวม 2,355 ล้านบาท หรือประมาณ 70,650 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 50 เนื่องจากความผันผวนของค่าเงินรูเบิล ขณะที่เบลารุสเป็นตลาดขนาดเล็กที่มีความใกล้ชิดทางเศรษฐกิจกับรัสเซีย มีประชากรประมาณ 9.6 ล้านคน ในปี 2558 มีมูลค่าการค้ารวมกับไทย 83.71 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 7.2