ทั้งนี้ ธ.ก.ส.มีความพร้อมในการสนับสนุนโครงการสินเชื่อ1 ตำบล 1 SMAEs ตามที่ครม.มีมติให้ดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพของเกษตรกรหรือชุมชน รวมถึงในการพัฒนาผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรหรือชุมชน เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรในกระบวนการผลิต การรวบรวม การแปรรูป การตลาด และการบริการ ในวงเงิน 72,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่จะร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาและยกระดับคุณภาพเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล
โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ เกษตรกร บุคคล ผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ภาคการเกษตร วิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้านและสถาบันการเงินชุมชน ที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจหรือกิจการที่มีวัตถุประสงค์เป็นการส่งเสริมการประกอบอาชีพของเกษตรกรหรือชุมชน และการพัฒนาผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรหรือชุมชนในกระบวนการผลิต การรวบรวม การแปรรูป การตลาด และการบริการ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจหรือกิจการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาตนเองเพื่อเป็นผู้ประกอบการ SMAEs โดยกำหนดวงเงินกู้รายละ ไม่เกิน 20 ล้านบาท ตั้งแต่ปีที่ 1-7 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี และตั้งแต่ปีที่ 8 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ยปกติของธนาคาร และกำหนดให้สินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2560 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับเกษตรกรไทยทั่วประเทศให้เป็นผู้ประกอบการ SMEs เกษตร กว่า 7,305 ราย หรืออย่างน้อย 1 ตำบล ต้องมีผู้ประกอบการ SME เกษตร 1 ราย
ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า นอกจากนี้ ธ.ก.ส.ได้ดำเนินโครงการชุมชนปรับเปลี่ยนการผลิตสู้วิกฤตภัยแล้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้ในการผลิตการเกษตรตามมาตรฐานคุณภาพที่มีตลาดรองรับ สนับสนุนเงินทุนแก่ชุมชนในการจ้างผลิตเพื่อปรับเปลี่ยนการผลิตและให้เกิดการบริหารจัดการภายในชุมชน เป็นต้นแบบในการขยายผลสู่การปรับโครงสร้างการผลิตการเกษตรและพัฒนาสู่การจัดตั้งกองทุนเพื่อปรับโครงสร้างการผลิตการเกษตรตามนโยบายรัฐบาล เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรให้มีศักยภาพเพียงพอเพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยงจากผลกระทบวิกฤติภัยแล้งที่ส่งผลต่อการผลิตและรายได้ของเกษตรกร โดยดำเนินการในลักษณะเกษตรพันธะสัญญา (Contract farming) ระหว่างชุมชนกับผู้รับซื้อผลผลิต เพื่อที่เกษตรกรจะไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการผลิตและการตลาด โดยยึดหลักการดำเนินการในรูปแบบของการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างรัฐและประชาชนภายใต้กรอบแนวคิด “ประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากมั่นคง และชุมชนเข้มแข็ง" ซึ่งจะช่วยให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากการผลิตพืชเชิงเดี่ยวของเกษตรกร ในเบื้องต้นได้กำหนดประเภทผลผลิตไว้ 6 ชนิด ได้แก่ พืชตระกูลถั่ว (ถั่วเขียว ถั่วเหลือง) ผักคะน้า กวางตุ้ง เห็ดฟาง เมล่อนและหญ้าเนเปียร์ แต่สำหรับผลผลิตอื่นๆ หากชุมชนจะดำเนินการจะต้องมีตลาดรับซื้อที่แน่นอน
โครงการนี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 จำนวนวงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 3,000,000 บาท ต่อชุมชน คิดดอกเบี้ยจากชุมชนในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยส่วนต่างแทนชุมชน กำหนดชำระคืนเงินกู้ ไม่เกิน 12 เดือน นับแต่วันกู้ วงเงินสินเชื่อรวม 15,000 ล้านบาท โดยให้แต่งตั้งพนักงานประจำสำนักงาน ธ.ก.ส.ทุกจังหวัดและสาขา เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ (Mr. XYZ) ทำหน้าที่ดูแล ติดตาม และกำกับการดำเนินงานโครงการในแต่ละชุมชนอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะมีรายได้ ดังนี้ รายได้ = (X+Y+Z) โดยที่ X คือ รายได้จากค่าเช่าที่ดินเพื่อการผลิต Y คือ รายได้จากค่าจ้างแรงงานการผลิต และ Z คือ เงินปันส่วนให้แก่สมาชิกตามโครงการหลังจาก หักค่าใช้จ่ายของชุมชน
นอกจากนี้ ธ.ก.ส.ยังได้ออกโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและจำเป็นของเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง ปี 2558/2559 วงเงินสินเชื่อ 6,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรลูกค้ารายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ที่ไม่สามารถทำการผลิตได้หรือผลผลิตได้รับความเสียหาย ทำให้มีรายได้ลดลงกว่าร้อยละ 50 จากรายได้ปกติ และลูกค้ามีวงเงินกู้รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท จำนวน 500,000 ราย ให้กู้ได้รายละไม่เกิน 12,000 บาท ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 - 30 มิถุนายน 2559 ปลอดดอกเบี้ย 6 เดือนแรก เดือนที่ 7- 12 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี เฉลี่ยร้อยละ 2 ต่อปี กำหนดชำระคืนไม่เกิน 12 เดือนนับแต่วันกู้ สามารถใช้หลักประกันรับรองรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันหรือใช้บุคคล 2 คนขึ้นไปค้ำประกันหนี้เงินกู้โครงการนี้ได้ไม่เกิน 12,000 บาท