PwC เผยโพลล์ซีอีโออาเซียนมอง ศก.-รายได้ปีนี้ยังแย่ จับตาประเด็นการเมือง

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 24, 2016 12:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน PwC ประเทศไทย เปิดเผยผลสำรวจ Global CEO Survey ครั้งที่ 19 ที่ใช้ในการประชุม World Economic Forum (WEF) ณ กรุงดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประจำปี 59 ซึ่งสำรวจความคิดเห็นซีอีโอทั่วโลกจำนวน 1,409 รายใน 83 ประเทศ ในจำนวนนี้เป็นซีอีโอจากอาเซียน 61 รายใน 7 ประเทศพบว่าความเชื่อมั่นของซีอีโออาเซียนต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของรายได้บริษัทในปีนี้ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน

ผู้นำธุรกิจอาเซียนเพียง 39% เชื่อว่าเศรษฐกิจโลก (Global Economy) จะดีขึ้นในปีนี้ ปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมาที่ 49% ถือเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปีนับจากปี 56 โดย 3 ปัจจัยหลักที่ซีอีโออาเซียนมองว่าเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจและนโยบาย (Economic and policy threats) ได้แก่ ความผัวผวนของอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange rate volatility) ความไม่มั่นคงทางสังคม (Social instability) และความไม่สงบทางการเมือง (Geopolitical uncertainty)

“ความไม่สงบทางการเมืองกลายเป็นประเด็นที่ซีอีโอทั่วโลกต่างพูดถึงและจับตาอย่างใกล้ชิดในปีนี้ โดยซีอีโอมองว่า หากมีสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศปะทุขึ้นอีกครั้ง อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้คนและภาคธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ" นายศิระ กล่าว

นอกจากนี้ ในระยะสั้นหลายประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีแผนการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศในปีนี้ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ และไทย แม้จะยังไม่แน่นอนก็ตาม ขณะที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนยังเตรียมกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 13 ระยะเวลา 5 ปี ระหว่างปี 59-63 อีกด้วย ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ซีอีโออาเซียนต่างเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด

ขณะที่ผู้นำธุรกิจอาเซียนเพียง 38% ในปีนี้เชื่อว่า รายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ลดลงจากปีก่อนที่ 47%

3 ปัจจัยที่ซีอีโออาเซียนมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของธุรกิจ (Business threats) ได้แก่ การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (88%) ยังเป็นอุปสรรคลำดับแรกที่ซีอีโออาเซียนกังวล ซึ่งประเด็นนี้ เป็นสิ่งที่ท้าทายหลายบริษัทในภูมิภาคอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถหลากหลายด้าน ทั้งด้านไอที เทคโนโลยี และทักษะเฉพาะทาง มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในระยะข้างหน้า เพราะจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้ทัดเทียมสากล ถัดมาคือ การติดสินบนและคอร์รัปชั่น (80%) และสุดท้าย คือ การขาดความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจ และการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ (75%)

“ปีนี้ความเชื่อมั่นของซีอีโอโลกและซีอีโออาเซียนต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของรายได้บริษัทลดลงทั้งคู่เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่า ภาพรวมของโลกไม่ดีเท่าไหร่นัก จึงไม่น่าแปลกใจที่ซีอีโอทั้งสองกลุ่มต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ในปีนี้มีอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจมากกว่าโอกาส"นายศิระ กล่าว

ขณะที่แนวโน้มการจ้างงานเพิ่มในอาเซียนก็ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจที่ชะลอตัวเช่นกัน โดยจากผลสำรวจพบว่าซีอีโออาเซียนเพียง 59% เท่านั้น ที่มีแผนจะจ้างบุคลากรเพิ่ม ลดลงจากการสำรวจปีก่อน ประมาณ 8%

นายศิระ กล่าวเสริมว่า แม้ภาพรวมการจ้างงานจะลด แต่ความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงในภูมิภาคยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ซีอีโออาเซียนให้ความสำคัญกับการเฟ้นหาและบริหารบุคลากรที่เป็นทาเลนต์ โดย 43% ระบุว่า จะเปลี่ยนแปลงวิธีการพัฒนาบุคลากร เพื่อผลักดันให้คนเก่งมากความสามารถขึ้นเป็นผู้บริหารในอนาคต (Building a pipeline of leaders for tomorrow) นอกจากนี้ ยังต้องการจะเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรและพฤติกรรมการทำงาน (Workplace culture and behaviours) รวมทั้ง ระบบการบริหารจัดการผลตอบแทน และสวัสดิการให้แก่พนักงาน (Pay, incentives and benefits provided to employees) เพื่อจูงใจและรักษาทาเลนต์ให้อยู่กับองค์กรไปนานๆ

ในปีนี้ ซีอีโออาเซียน ยังแบ่งความท้าทายของการดำเนินธุรกิจออกเป็น 2 ด้านด้วยกัน ประกอบด้วย 1. การตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Addressing greater expectations) และ 2. การประเมินผลสำเร็จของกิจการ (Measuring success)

ผลจากการสำรวจพบว่า ซีอีโออาเซียนถึง 77% มองว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จะเป็นเทรนด์ที่สามารถช่วยตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียของธุรกิจได้มากที่สุด ด้วยพลวัตการเปลี่ยนแปลงด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) และอื่นๆ

ส่วนความท้าทายในการประเมินผลสำเร็จของกิจการนั้น ผลสำรวจพบว่า ซีอีโออาเซียนกว่า 80% ต่างเห็นด้วยว่า ความสำเร็จในการทำธุรกิจในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้วัดกันที่“ผลกำไร"เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เนื่องจากผู้บริหารทั่วโลกเริ่มตื่นตัวในเรื่องการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนครอบคลุม 3 มิติ ประกอบด้วย สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยคำนึงถึงเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจพร้อมดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามที่ประชาคมโลกกำลังให้ความสำคัญเพื่อไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ 17 เป้าหมายในอีก 14 ปีข้างหน้า (2558-2573) และเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงไปทั่วโลก

“ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่วันนี้ ธุรกิจอาเซียนมีแผนจะนำแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน มาปรับใช้กับองค์กร ผลสำรวจในปีที่ผ่านมาของเราระบุว่า บริษัทในอาเซียนเกือบ 100% มีแผนที่จะนำ SDGs มาใช้ภายในอีก 5 ปีข้างนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย SDGs และสอดคล้องกับแผนงานของตลาดหลักทรัพย์ฯที่ส่งเสริมเรื่อง Environmental, Social and Governance หรือ ESG เพื่อพัฒนาตลาดทุนไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย"นายศิระ กล่าว

ขณะที่ผลสำรวจครั้งนี้ระบุว่า ซีอีโอทั่วโลก 39% คิดว่าธุรกิจควรที่จะมีการวัดผลในเรื่องผลกระทบของสิ่งแวดล้อม (Environmental impact) เพราะนั่นหมายถึงการสร้างธุรกิจและสังคมที่ยั่งยืน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ภาครัฐและเอกชนจะต้องทำงานร่วมกัน ทั้งในเชิงนโยบายและภาคปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ