อย่างไรก็ตาม กรมฯ เชื่อว่ามาตรการในการผลักดันตลาดตามนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้เจาะตลาดเชิงลึก โดยเฉพาะในอาเซียน รวมทั้งการเจาะเมืองรองในตลาดสำคัญๆ เช่น จีน อินเดีย จะเริ่มเห็นผลในช่วงครึ่งปีหลังของปี 59 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ยังคงเป้าหมายมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในปีนี้ขยายตัวที่ 5% เหมือนเดิม
"เป้า 5% จะต้องพยายามผลักดันไปให้ถึง แม้ในช่วงต้นปีสถานการณ์ต่างๆ จะยังไม่ฟื้น แต่ยังมีโอกาสจากการทำแผนเจาะตลาดเชิงลึก รวมทั้งการเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ ที่รัฐบาลจัดคณะไป เช่น อิหร่าน รัสเซีย ซึ่งจะเริ่มเห็นผลชัดเจนในครึ่งหลังปีนี้ ส่วนราคาน้ำมันดิบ มีการกันประเมินว่าราคาจะฟื้นตัวในปี 60" นางจันทิรา กล่าว
สำหรับการจัดงานแสดงสินค้าบางกอก เจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์ ครั้งที่ 57 ระหว่างวันที่ 24-28 ก.พ.นี้ ที่เมืองทองธานี คาดว่าจะมีเข้าร่วมงาน 27,000 คน มียอดขายภายในงาน 15,000 ล้านบาท และทำให้ทั้งปี 59 กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับจะเติบโตได้ 5% มูลค่า 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไทยตั้งเป้าหมายในอีก 5 ปี จะเป็นผู้ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับอันดับ 3 ของโลก จากปัจจุบันอยู่ในอันดับ 5 ของโลก เพราะภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนผู้ส่งออกในกลุ่มอัญมณี เช่น การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) สำหรับการนำเข้ามาเพื่อขาย หรือการขายเพชร พลอย ทับทิม มรกต ฯลฯ เฉพาะที่ยังไม่ได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าว หรือที่ทำขึ้นใหม่
นอกจากนี้ยังได้ส่งเสริมให้มีการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 1% สำหรับบุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมินจากการขายอัญมณี รวมทั้งได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้พึงประเมินจากการขายอัญมณี มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ถือเป็นการส่งเสริม และสนับสนุนอุตสาหกรรมอัญมณี และเครื่องประดับไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
ด้านนายสมชาย พรจินดารักษ์ ประธานสมาพันธ์อัญมณีเครื่องประดับและโลหะมีค่าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การส่งออกอัญมณี และเครื่องประดับในปีนี้ จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 5% หรือมีมูลค่ากว่า 7,500 ล้านสหรัฐ ฯ แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว จากปีก่อนที่มูลค่าการส่งออกไม่ขยายตัว แต่ขณะนี้ตลาดสหรัฐฯ จีน และอินเดีย เริ่มดีขึ้น เช่นเดียวกับตะวันออกกลางที่เริ่มดีขึ้น แม้ก่อนหน้านี้กำลังซื้อลดลงจากรายได้จากการขายน้ำมันลดลงมาก รวมถึงภาครัฐช่วยส่งเสริมและสนับสนุน โดยเฉพาะการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยกเว้นแวต