ทั้งนี้ เห็นว่าการปรับปรุงรถเก่าจะทำได้เร็วที่สุด เพราะใช้หลายอู่กระจายกันทำ ใช้เวลาปรับปรุงคันละประมาณ 40 วัน หลังปรับปรุงจะใช้งานต่ออีก 10-15 ปี ขณะที่การจัดซื้อรถเมล์ NGV จำนวน 489 คัน อยู่ระหว่างการจัดทำร่างทีโออาร์ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในเดือนมี.ค. จากนั้นจะเสนอบอร์ดขสมก.เพื่อออกประกาศประมูลได้ประมาณเม.ย.-พ.ค.
ส่วนรถเมล์ไฟฟ้า ซึ่งจ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) ศึกษา แต่เนื่องจากเทคโนโลยียังไม่นิ่งพอที่จะตัดสินใจ ประกอบกับมีการศึกษาในหลายหน่วยงาน เช่น การไฟฟ้านครหลวง และกระทรวงพลังงาน จึงเห็นว่าควรนำข้อมูลแต่ละหน่วยงานมาบูรณาการร่วมกันก่อนเพื่อความครบถ้วน
นอกจากนี้ ได้ให้ ขสมก.พิจารณาโครงการป้ายรถเมล์อัจฉริยะนำร่อง 9-12 จุด เช่น หมอชิต, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ภายใน ก.ค.-ส.ค.นี้ก่อนที่จะขยายไปทั่วกรุงเทพฯ ในระยะต่อไป ซึ่งป้ายรถเมล์อัจฉริยะนี้จะทำให้ประชาชนได้รับทราบว่าป้ายดังกล่าวมีรถเมล์สายใดผ่านบ้าง และจะมาถึงภายในกี่นาทีเหมือนในต่างประเทศ
ด้านพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานบอร์ด ขสมก. กล่าวว่า ในส่วนของการเช่ารถเมล์ไฟฟ้ารูปแบบ PBC จำนวน 20 คันนั้น จะเป็นการนำร่องเพื่อทดสอบเรื่องคุณภาพและความคุ้มค่าก่อนจะตัดสินใจจัดซื้อ เนื่องจากขณะนี้ข้อมูลที่มียังไม่เพียงพอที่จะตัดสินใจ ทั้งเรื่องสถานีเติมไฟฟ้า ราคาที่ยังสูงกว่ารถทั่วไปถึง 4 เท่า ดังนั้นจะเร่งศึกษาและสรุปเสนอบอร์ด ขสมก.พิจารณา และทำการนำร่องจำนวนหนึ่งก่อน เพื่อตอบโจทย์ที่ยังไม่ชัดเจนก่อนตัดสินใจ
นางปราณี ศุกระศร บอร์ด ขสมก. กล่าวว่า ตามแผนจะแบ่งการปรับปรุงรถเก่าเป็น 2 ล็อต โดยล็อตแรก 671 คัน เป็นรถร้อนประมาณ 521 คัน รถปรับอากาศ 150 คัน และล็อตที่ 2 อีกประมาณ 500 คัน ซึ่งขสมก.กำลังสรุปค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงรถ โดยจะมีการติดตั้งระบบ GPS, CCTV 4 จุด ระบบเซ็นเซอร์ที่ประตูอัตโนมัติ วงเงินประมาณ 8.5 แสนบาทต่อคัน แต่หากเพิ่มการปรับปรุงโครงสร้างรถ, ระบบไฟหน้าต่างๆ ค่าปรับปรุงอาจจะเพิ่มขึ้นอีก โดยจะทยอยนำรถเข้าปรับปรุงชุดละ 60 คัน ให้ครบทั้ง 671 คันภายใน 1 ปี